วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

มูอัลลัฟ ลงโรงลิโด้

ไชโยให้ มูอัลลัฟ ซึ่งกำลังจะเข้าฉายที่ลิโด้วันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ พร้อมกับสารคดีเรื่อง Suddenly Last Winter (หนาวนี้.....แต่งงานกันนะ)



หมายเหตุ : เดิมบทความนี้เคยตีพิมพ์ที่ บล็อก นิมิตวิกาล:
http://twilightvirus.blogspot.com/2008/09/convert.html
และ บล็อก กลแสง: http://atrickofthelight.wordpress.com/2008/09/24/atolbkiff12/

มูอัลลัฟ (The Convert) กำกับโดย ภาณุ อารี, ก้อง ฤทธิ์ดี, กวีนิพนธ์ เกตุประสิทธิ์

บทความโดย Ninamori

"การถ่ายทอดภาพจริงอย่างที่เห็นและเป็นอยู่นั้น เป็นคนละเรื่องกับการแสดงความเห็นดีเห็นงามของคนทำหนัง"

เมื่อไม่นานมานี้ที่ร้านอาหารอิสลาม มีเด็กผู้หญิงใส่ชุดเนตรนารีคนหนึ่ง เธอนับถือศาสนาพุทธ และเป็นลูกค้าประจำของร้าน เธอตะโกนบอกพ่อ ซึ่งเปิดร้านขายส้มตำไก่ย่างใกล้ๆ กัน เธอเห็นว่าร้านของพ่อไม่ค่อยมีลูกค้า แต่ร้านอิสลามมีคนเข้าร้านเยอะ เธอจึงบอกกับพ่อว่า “โตขึ้นหนูจะเปิดร้านอาหารอิสลาม” เธอเข้าใจว่าเพียงแค่เขียนป้ายว่า “ร้านอาหารอิสลาม” ก็สามารถเปิดร้านได้แล้ว แต่เธอไม่ได้เข้าใจความหมายอย่างแท้จริงที่ว่าคนขายก็ต้องเป็นมุสลิมด้วย อาหารและเครื่องปรุงที่ใช้ก็ต้องสะอาดถูกหลักอนามัย ทุกขั้นตอนตั้งแต่การเลือกอาหาร การล้างทำความสะอาด ตลอดจน การปรุงอาหาร ล้วนมีขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามหลักศาสนาทั้งสิ้น

ฉันว่ามันยากจริง ๆ ที่คนศาสนาอื่นจะเข้าใจคนศาสนาอิสลามได้แม้แต่น้อย แต่อย่างน้อยฉันก็ดีใจ ถ้าคนที่ต่างศาสนากันคนไหน ไม่หมดความพยายามที่จะเข้าใจกันและกันของพวกเขาไปเสียก่อน อย่างที่ได้เห็นจากหนังสารคดีเรื่องหนึ่ง“มูอัลลัฟ” คือหนังเรื่องที่ว่า หนังเรื่องนี้มันกำเนิดจากการที่ 3 หนุ่มอิสลามอยากรู้ ว่าเพื่อนของเขาที่เป็นสาวไทยพุทธจะปรับตัวยังไง เมื่อได้มารักและแต่งงานกับผู้ชายอิสลาม

มันเป็นชีวิตคนธรรมดาเรียบ ๆ ง่าย ๆ ที่ไม่น่าจะประหลาดหรือดูสนุก แต่มันก็น่าแปลกที่ชีวิตเรียบง่ายแบบนี้นี่แหละที่น่าสนใจเอามาก ๆ ซึ่งที่จริงเราควรจะได้ดู หรือทำความรู้จักกันมาตั้งนานแล้ว แต่น่าเสียดายว่าไม่มีรายการทีวีช่องไหนสนใจไปบันทึกมา

สาว “จูน” เป็นคนที่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง เธอไม่ใช่คนที่จะรอหมอดูบอกดวง เมื่อเธอรู้ตัวเองแล้วว่ารักชอบกับ เอก – ผู้ชายอิสลาม เธอปรึกษากับพ่อ แล้วก็ตัดสินใจได้เลยว่าเธอจะเลือกทางชีวิตยังไง แม้ว่ามันจะเป็นการเปลี่ยนชีวิตของเธออย่างหน้ามือเป็นหลังมือ สำหรับเธออะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ขอแค่ทำมันให้ดีที่สุดก็พอแล้วจูน เป็นคนต่างจังหวัดที่ใช้ชีวิตในกรุงเทพอย่างอิสระเสรี เหมือนนกที่บินในอากาศ เธอเป็นคนสดใส คุยสนุก ยิ้มแย้ม และเข้ากับคนได้ง่าย เธอจึงมาอยู่ในใจฉันอย่างง่ายดาย เกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่ฉันเฝ้าติดตามดูชีวิตของเธอกับแฟนหนุ่ม หนังถ่ายทอดเรื่องราวได้สะเทือนใจ ทำให้รู้จักรสชาติของชีวิต หลายๆ ฉาก ฉันถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เมื่อเห็นจูนลำบาก และยังมีอุปสรรคก้อนโตรอเธออยู่ บางครั้งรู้สึกว่าเธอจะยอมแพ้ไหมนะ เพราะแค่รักกันสองคนยังว่ายาก แต่นี่กฎเกณฑ์ทางศาสนาวัฒนธรรม มันทำให้ชีวิตที่ยุ่งยากพอแล้วยิ่งหนักหนาเข้าไปอีก ไม่ง่ายเลยหนอชีวิตคน อย่างไรก็เถอะ ฉันเฝ้าขอพรจากพระเจ้า ขอจงโปรดประทานให้เธอโชคดี ปลอดภัย

มูอัลลัฟ เป็นหนังที่แสดงชีวิตจริงของคนสองคน แม้ว่าจะเป็นชีวิตที่ถูกคัดเลือกมาแล้วจากฟุตเตจ 140 ม้วน ก็ตาม แต่มันก็บริสุทธิ์จากการปรุงแต่งหรือชี้นำ มันไม่ใช่หนังที่คนทำจะเข้าไปพยายามก้าวก่ายหรือประเมินตัวละครว่าเลือกทางชีวิตถูกหรือผิด หนังเลือกเส้นทางที่เหมาะกว่า คือ ไม่สนใจที่จะรับใช้แนวคิดสถาบันไหน หรือ หลักศีลธรรมของใคร โลกนี้ไม่ได้มีแต่หนังสารคดีแนวเก่าที่สอนการประพฤติตนให้ถูกหลักศาสนา หรือทำตัวสูงส่งประเมินจับผิดคนอื่น เพราะชีวิตจริงนั้นซับซ้อนกว่าระบบความคิดและอุดมการณ์ ที่สำคัญคือการถ่ายทอดภาพจริงอย่างที่เห็นและเป็นอยู่นั้น เป็นคนละเรื่องกับการแสดงความเห็นดีเห็นงามของคนทำหนัง

ในช่วงต้นเรื่องหนังได้พาคนดูทำความรู้จักกับชีวิตของจูน เธอเป็นคนขยัน และชอบหาประสบการณ์ชีวิต เธอบริหารจัดการเวลาได้อย่างลงตัว ทำงาน 2 อย่าง กลางวันเป็นสาวออฟฟิศให้กับนิตยสาร Daco งานที่ต้องเกี่ยวข้องกับสื่อสารมวลชน ต้องคอยแอ็คทีฟตัวเองตลอดว่า หาข้อมูลข่าวสารให้ทันเหตุการณ์ปัจจุบัน (เมื่อก่อนฉันส่งโปรแกรมหนังของดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์ ฯ ไปลง Daco เป็นประจำ ไม่แน่นะเราอาจเคยคุยกันทางโทรศัพท์มาแล้วก็เป็นได้) ส่วนหลังเลิกงานตอนเย็น เธอหารายได้พิเศษด้วยการขายเสื้อผ้ามือสอง ถึงจะเหนื่อยเมื่อยล้า แต่เธอก็มีความสุขในความสำเร็จจากหยาดเหงื่อของเธอ

บางคนอาจมองว่า “มูอัลลัฟ” ไม่ใช่หนังสารคดีที่สมบูรณ์ในแบบที่ควรจะเป็น ผู้กำกับต้องแจกแจงความถูกต้อง และรับผิดชอบกับสิ่งที่บุคคลในเรื่องทำ นั่นถือเป็นความคิดที่ผิดค่ะ ไม่ยุติธรรมเท่าไรนัก ขอแค่ผู้ชมอย่ายึดติดกับสูตรสำเร็จ ผู้กำกับเป็นเพียงผู้นำเสนอชีวิตของคนคนหนึ่ง และถ่ายทอดเรื่องราวให้เราได้รับรู้เท่านั้น ผู้กำกับไม่ใช่ผู้ตัดสินความถูกต้อง

ถามหน่อยเถอะ หากให้เลือกระหว่าง คน ชาติ ศาสนา... ว่าอย่างไหนสำคัญกว่า ก็คงเถียงกันใหญ่ เพราะสำหรับคนที่ขวาจัดก็จะมองว่า “ ชาติสิสำคัญที่สุด ต้องมาก่อนเหนือสิ่งอื่นใด ” แต่สำหรับคนที่เคร่งศาสนามากก็อาจมองว่า “ เฮ้ ! ศาสนาสิ ศาสนาต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว จะออกนอกหลู่นอกทางไม่ได้เด็ดขาด ” แต่บางทีนะ ถ้าแต่ละคนตอบอย่างจริงใจ ไม่ใช่หรอกหรือที่คุณค่าของจิตใจ “คน” นั้นควรจะเป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญก่อนอื่น (ตราบใดที่เขาไม่ไปทำร้ายหรือลบหลู่ใคร) ส่วนกรอบเกณฑ์ทางสังคมน่ะก็จำเป็น แต่ไม่ใช่มีไว้ครอบหัวคิด สำหรับเรื่อง “ มูอัลลัฟ” อยากให้มองที่ตัวบุคคล ซึ่งเป็นแกนสำคัญของเรื่อง ก็พูดกันไม่ใช่หรือว่า ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี แล้วถ้าคนเคร่งศาสนาประพฤติไม่เหมาะสม แถมแอบอ้างศาสนาทำลายคนอื่น เขายังเป็นคนดีอยู่หรือเปล่า

จึงอยากให้ดูหนังอย่างเปิดใจ อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรทั้งนั้น ให้ดูว่า จูน และ เอก นั้น เป็นคนไม่ดีจริงๆ หรือเปล่า ในโลกนี้ไม่มีใครอยากทำผิดหรอก ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ยิ่งเป็นศาสนาที่ตัวเองไม่ได้นับถือตั้งแต่แรกยิ่งแล้วใหญ่ เพราะจะมีเรื่องให้เข้าใจผิดได้ง่ายๆ ชีวิตของจูนก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าเธอจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ชีวิตการเป็นมุสลิมเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หนทางข้างหน้ายังอีกไกลโข แต่เราคนดูก็อดเป็นกำลังใจช่วยให้เขาพยายามฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้ ตอนแรกคนดูอาจมีอึ้ง เมื่อฟัง จูน ให้สัมภาษณ์ว่า รักชอบกับเอก หลังจากเพิ่งรู้จักกับเอกแค่ไม่ถึงอาทิตย์เท่านั้น อะไรทำให้เธอถึงตอบตกลงแต่งงานกับเอก ทำไมเธอถึงไว้วางใจเอกมากขนาดนั้น อะไรทำให้เธอเชื่อว่าเอกน่าจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่จะรักและดูแลเธอตลอดไป ส่วนเอก เราไม่สงสัยเท่าไรนัก เพราะเขาเฝ้าชื่นชมจูนอยู่ห่างๆ มานานเกือบ 4 ปี สำหรับเอกแล้ว เขามั่นใจว่า “จูน” คือ คู่ชีวิตที่พระเจ้าประทานมาให้และต้องการให้เขาดูแลเท่าชีวิต

ฟังดูชีวิตน่าจะไปได้สวยนะ แต่ยังก่อน ช้าก่อน เพราะนี่เป็นเพียงการทดสอบที่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เพราะ ความรักอาจสำคัญก็จริง แต่ชีวิตจริงคือความรับผิดชอบ สถานการณ์นั้นน่าเป็นห่วง เพราะค่ากินอยู่ในชีวิตประจำวันบังคับให้สองคนนี้ต้องกลับมาทำงานในกรุงเทพ มันยังมีปัญหาความหย่อนความเคร่งครัดในหลักปฏิบัติทางมุสลิม ซึ่งทั้ง จูน และ เอก ต่างก็เป็นความเด็ดเดี่ยวใจกล้าของ จูน ที่เดินหน้าแล้วไม่ยอมหันหลัง นั้นเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง เราคนดูเองก็ยิ่งสมควรเคารพ ยอมรับ และให้กำลังใจกับการตัดสินใจครั้งสำคัญอันนี้ เพราะมันไม่ใช่เพียงการเริ่มต้นชีวิตกับอีกหนึ่งคนเท่านั้น แต่มันเป็นการยินยอมตกลงใจที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ จากที่นับถือศาสนาพุทธ เปลี่ยนมาเป็นอิสลามตามสามี เรียกว่า “มูอัลลัฟ” (บุคคลต่างศาสนาที่เข้ารับเป็นอิสลาม) ซึ่งต้องปรับตัวให้เข้ากับหลักศาสนาที่รายล้อมด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ มากมาย

เรียกได้ว่าชีวิตของสองคนนี้เป็นตัวอย่างของศรัทธาที่เราคนดูควรหล่อเลี้ยงไว้ให้ได้ นี่หรือพลังของความรัก มันช่างยิ่งใหญ่นัก มันมีอานุภาพที่สามารถทำให้คนคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ กล้าทำทุกสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต ยิ่งตอนที่รู้ว่าถึงเวลาถือศีลอดในเดือนรอมฏอน (1) ซึ่งเธอก็ทำได้ดี ผ่านบททดสอบนี้โดยไม่เป็นอะไร แถมยังสามารถทำงานบ้านปกติได้

และนี่คือชีวิตของ จูน ชีวิตที่ยังต้องต่อสู้อีกมากมาย ณ เวลานั้นตอนที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ แม้ว่าเธอจะเพิ่งเข้ารับเป็นอิสลามเพียงไม่กี่เดือน แต่เราก็เห็นความพยายามของเธอ และฉันเชื่อว่าในอนาคตเธอจะเป็นมุสลิมที่ดี ขอเป็นกำลังใจให้ จูน สู้ สู้เหนือสิ่งอื่นใด ฉันคิดว่าคนทำหนังสารคดีเรื่องนี้ขึ้นมานั้นได้ทำบุญวาสนาที่สุดพิเศษ การที่เราคนดูได้มีโอกาสเข้าไปติดตามดูชีวิตใกล้ชิดของเพื่อนมนุษย์สักคน โดยเฉพาะชีวิตที่มีค่ามีความหมายต่อชีวิตของคนแปลกหน้าอย่างฉันนั้น คงไม่มีของขวัญที่มีค่าแก่ชีวิตไปกว่านี้อีกแล้ว

(1) รอมฏอน คือ การงดอาหาร เครื่องดื่ม และการมีเพศสัมพันธ์ ตั้งแต่เช้ามืดถึงดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ช่วงเวลา 4.30 น. ถึง 18.30 น. ในเดือนที่ 9 ตามปฏิทินอิสลาม เป็นเวลา 1 เดือน เพื่อขัดเกลาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ให้เกิดความเสมอภาคระหว่างคนจนคนรวย เพราะความหิวโหยทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกถึงความอ่อนแอของตัวเอง เขาผู้นั้นจะไม่หยิ่งผยองอวดอ้างว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เกิดความเห็นอกเห็นใจ มีเมตตาอยากช่วยเหลือผู้ยากไร้ และในทางการแพทย์การอดอาหารถือว่าเป็นการล้างพิษที่ดีอย่างหนึ่ง

วันศุกร์ที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

Pippi Longstocking เด็กหญิงจอมพลัง ที่น่าสงสารที่สุดในโลก

by Ninamori
ใครๆ ก็สงสัยว่าปิ๊ปปี้เป็นใครมาจากไหน...

ปิ๊ปปี้เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ผอมๆ ตกกระทั่วใบหน้าโดยเฉพาะรอบๆ จมูก ไว้ผมเปียสีแครอทซึ่งตั้งชี้ตรงดิ่งออกไปทั้งซ้ายขวาคล้ายคนกางแขน เธอใส่รองเท้าคู่ยาวกว่าขนาดเท้าจริง ถุงเท้าก็ยาวถึงเข่า แถมคนละสีอีกต่างหาก เธอเป็นเด็กอารมณ์ดี ซุกซน (มาก) ช่างสงสัย และทุกอย่างล้วนน่าสนใจสำหรับเธอ

เด็กทั่วโลกที่ได้ดูหนังปิ๊ปปี้ (หรืออ่านหนังสือ) ต่างหลงรักและอยากเป็นอย่างปิ๊ปปี้มาก เพราะปิ๊ปปี้เป็นความใฝ่ฝันของเด็กๆ เป็นหนังที่สร้างขึ้นมาจากมุมมองของเด็กอย่างแท้จริง ซึ่งต่างจากหนังเด็กทั่วไปที่สร้างจากมุมมองของผู้ใหญ่

ปิ๊ปปี้สามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ใจต้องการ ไม่มีข้อแม้ กฎเกณฑ์ หรือข้อห้ามใดๆ เธอไม่ต้องไปโรงเรียน ไม่ต้องอาบน้ำแปรงฟันถ้าอารมณ์บ่จ๋อย จะเข้านอนกี่โมงก็ได้ สามารถวิ่งเล่นบนหลังคา หรือถ้านึกสนุกอยากทำความสะอาดบ้านตอนเที่ยงคืน ตี 1 ตี 2 ก็ได้ เธอชอบโยนจานชามเล่นแตกกระจาย เธอชอบใช้แปรงขัดห้องน้ำมาตีไข่สำหรับทำคุกกี้ และใช้อ่างอาบน้ำเป็นที่นวดแป้ง มิหนำซ้ำเธอยังชอบทำอะไรเสี่ยงๆ ที่คนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ (รวมทั้งเด็กและผู้ใหญ่) ดูแล้วมันอันตรายเกินไป ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง และอื่นๆ อีกมากที่เห็นแล้วหัวใจจะวาย

ปิ๊ปปี้จึงเป็นหนังเด็กที่เด็กไม่ควรดูตามลำพัง เพราะเด็กก็คือเด็ก ยิ่งเด็กเล็กไม่ต้องพูดถึง พวกเขามีพฤติกรรมชอบเลียนแบบเต็มหัวใจ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพวกเขาเห็นปิ๊ปปี้กระโดดจากหลังคาแล้วตีลังกาลงมาข้างล่างบ่อยครั้ง โดยไม่เป็นอะไร ตัวอย่างไม่ไกลจากตัวฉันก็มี ครั้งหนึ่งลูกชายของเพื่อนบ้านจอมซ่าส์อายุ 5 ขวบ หลังจากเมามันส์กับการได้ดูหนังซูเปอร์แมนจบไม่นานนัก จู่ ๆ เขาก็บอกกับพี่เลี้ยงขณะยืนอยู่บนยอดบันไดคอนกรีตเกือบ 30 ขั้น ว่า “คอยดูดีๆ นะจะทำท่าซูเปอร์แมนให้ดู” คนข้างล่างก็ยืนรอดูอย่างตั้งใจ (จนต้องตกใจสุดขีด) เพราะนึกไม่ถึงว่าซูเปอร์แมนจะมาจริง แถมบินกางแขนท่าโหม่งพสุธาเสียด้วย เด็กเจ็บปางตาย แขนขาหักหลายท่อนต้องเข้าห้องไอซียูหลายวัน และยังต้องนอนพักรักษาตัวนานเป็นปี

อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่า ปิ๊ปปี้ เป็นเด็กเกเร นิสัยแย่ หากคุณมีเวลาอยู่กับเธอสักนิดคุณจะเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และสงสารเธอ จริงอยู่ที่เธอเกิดมาพร้อมพละกำลังมหาศาลสามารถยกม้า หรือคนพร้อมม้า หรืออะไรที่หนักกว่านั้นได้อย่างสบาย แต่อย่าลืมว่าเธอก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง อายุก็แค่ 7 ขวบ แม่ก็ตายตั้งแต่เธอจำความไม่ได้ ส่วนพ่อก็เป็นกัปตันอยู่แต่ในทะเล นานทีปีหนถึงจะกลับมาเยี่ยมให้เธอชื่นใจสักครั้ง แต่เธอก็สามารถดูแลตัวเอง และอยู่บ้านตามลำพังที่ วิลล่า วิลเลคูล่า กับม้าและลิงอย่างมีความสุข เธอมีเพื่อนสนิทอีก 2 คนที่มาจากบ้านที่เพียบพร้อมด้วยกฎกติกามารยาทชื่อ ทอมมี่ และ อานิก้า ความคิดหนึ่งที่ชอบมากตอนที่ ปิ๊ปปี้ ลองไปเรียนโรงเรียนวันแรกที่เธอพูดว่า “เรียนมากๆ นี่ทำให้คนสุขภาพดีๆ แย่ได้เหมือนกัน” สงสัยคงจะจริงนะ

แน่ล่ะ ปิ๊ปปี้ ก็ต้องการความรักจากพ่อและแม่มาก อยากกอดอยากคุย และอยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัวคนอื่นๆ แต่เธอก็ไม่ได้จมปลักอยู่กับความโศกเศร้าที่เรียกหาแต่รักจนไม่เป็นอันทำอะไร เธอรู้จักสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองอยู่อย่างมีความสุขได้เป็นอย่างดี ด้วยความที่เป็นเด็กที่ช่างจินตนาการและชอบผจญภัย ทุกๆ วันของเธอจึงเต็มไปด้วยสีสัน สำหรับ ทอมมี่ กับ อานิก้า แล้ว ปิ๊ปปี๊ คือสุดยอดคนเก่ง ปิ๊ปปี้สามารถทำทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย และไม่เคยลังเลที่จะทำทุกสิ่งที่ทุกคนคิดว่าทำไม่ได้


หากใครที่สนใจอยากดูหนัง ปิ๊ปปี้ นี้ ขอแนะนำว่าให้ดูฉบับสวีเดน ทั้งหมดมี 4 ตอน ที่คนแต่งเรื่อง
แอสตริด ลินด์เกรน (Astrid Lindgren) ถูกอกถูกใจมากๆ เพราะปิ๊ปปี้เวอร์ชั่นนี้แสดงเป็นธรรมชาติมาก จะให้ทำอะไร เธอก็คล่องแคล้วและสนุกไปหมด รูปร่างเธอก็ผอมๆ ยาวๆ สมกับที่อยู่คนเดียว ที่ต้องอดยากปากแห้ง แต่อย่าเผลอไปหยิบฉบับอเมริกันนะ เพราะปิ๊ปปี้ดูสมบูรณ์เกินไป แต่เธอตีลังกาเก่งมาก ที่เหลือดูแสดงๆ อาจทำให้เสียบรรยากาศได้

ปิ๊ปปี้ฉบับสวีเดน 4 ตอนคือ

ตอน 1 Pippi Longstocking
ตอน 2 Pippi Goes on Board
ตอน 3 Pippi in the South Seas
ตอน 4 Pippi on the Run

วันพุธที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

Workshop fun with etching ที่หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ของดีและฟรี ยังมีในโลก
กับ workshop fun with etching ที่หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

by ninamori
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ ผู้ใหญ่ใจดีของทางหอศิลป์จามจุรี ที่จัดกิจกรรมดีๆ เป็นประจำทุกปี โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ เปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป โดยไม่จำกัดอายุ ขอแค่คุณมีใจรักในศิลปะก็เกินพอ

ท่ามกลางความวุ่นวายยุ่งเหยิงยังกะยุงเป็นโขยงของเมืองหลวงแห่งสยามนี้ มุมหนึ่งของหอศิลป์จามจุรีได้เปิดประตูหัวใจให้พวกเราได้ยืดเส้นยืดสายสัมผัสกับโลกศิลปะอีกครั้ง แม้จะเป็นวันเสาร์(2 ส.ค.51) ฉันก็ตื่นแต่เช้ามืดด้วยความตื่นเต้น เพราะอยากรู้ว่าศิลปะ etching หน้าตาจะเป็นอย่างไร อุ๊ย ! วัตถุมีน้ำหนัก... เราต่างสงสัยกับอุปกรณ์ที่ได้มา มีแผ่นทองแดงที่ทาด้วยวานิชดำใช้สำหรับวาดภาพ แล้วก็เข็มจาร ทีแรกเข้าใจผิดนึกว่าปากกา แต่มันเป็นเข็มที่ใช้สำหรับขูด ขีด เขียน เพื่อให้ได้ภาพตามต้องการ ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ก็มีหมึกสำหรับอัดลงในร่องบนเพลท, แท่นพิมพ์, กระดาษชนิดพิเศษสำหรับนำไปพิมพ์บนแท่นพิมพ์, น้ำมันสน, น้ำมันพืช, น้ำยาล้างจาน, น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำ, ถุงมือ, สมุดหน้าเหลือง ฯลฯ

ระหว่างฟังการบรรยายตาเหลือบไปเห็นสารเคมีที่ละลายน้ำแล้วหลังห้อง นึกหวั่นใจเล็กน้อยกลัวเผลอไปโดน แต่พออาจารย์บอกว่าไม่อันตรายถ้าบังเอิญผิวหนังไปสัมผัส ทำให้โล่งใจไปเยอะ
สมกับเป็นแม่ (พ่อ) พิมพ์ของชาติ สำหรับอาจารย์ สุรชัย เอกพลากร คนนี้ เพียงแค่ได้สัมผัสในห้องเรียนไม่นาน ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความเป็นกันเอง อาจารย์ใจดีเสมอ ที่สำคัญอาจารย์สามารถถ่ายทอดวิชาอย่างสร้างสรรค์ให้พวกเราได้ดีเยี่ยม แถมบอกเคล็ดลับดีๆ แบบไม่กั๊ก จนหลายคนไอเดียบรรเจิดเพิ่มเทคนิคพิเศษเนรมิตงานกิ๊บเก๋ แอ๊บสแทร็คก็มี บางคนภาพลอยมาแล้วแต่มือไม้ยังสั่นอยู่ เพราะไม่ชินกับเครื่องมือ บางคนใจลอยนึกถึงเพื่อนเพราะเสียดายที่ไม่ได้ชวนมาเรียนด้วยกัน


เร็วปานกามนิต หนุ่มสาวหน้าหวานวาดภาพเสร็จแล้ว มุ่งหน้าไปยังกระบะเพื่อนำแผ่นทองแดงไปแช่ในสารละลาย Ferric Chloride ให้กัดภาพจนเกิดเป็นร่องลึก ภาพจะเข้มหรือเบาบางก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนนี้ แต่ละคนจับเวลางานของตัวเอง ระหว่างรอก็ไปทานอาหารที่ทางหอศิลป์ฯ เตรียมไว้ให้ มีทั้งไก่ทอดกระเทียมพริกไทยดำแสนอร่อยถาดใหญ่ๆ ปลาท่องโก๋ ชา กาแฟ น้ำสมุนไพร และน้ำอัดลมสารพัดชนิด บางคนกินไก่ทอดเพลินจนลืมเวลา นึกได้วิ่งหน้าตั้งไปหยิบงานมาล้าง แต่งานของเขาก็ออกมาสวยกว่าที่คิดแฮะ งานจะสวยหรือไม่ขั้นตอนการทำความสะอาดเพลทก็สำคัญไม่แพ้กัน

และนี่เป็นผลงานของเพื่อนที่ชอบ

ขอบคุณ อาจารย์สุรชัย และเจ้าหน้าที่หอศิลป์ทุกท่านอย่างน้องจอย, อ๋อม, ขวัญ, เมี่ยง, จอม และแฮร์ยูน ที่ทำงานขยันขันแข็งตระเตรียมงานให้พวกเรา นอกจากความสุขในห้องเรียนที่ได้แล้ว ศิลปะทำให้เราได้เพื่อนใหม่ ฝึกให้ใจเย็น สามัคคีร่วมด้วยช่วยกันอย่างไม่ได้นัดหมายเกิดมิตรผู้อารี เป็นความรู้สึกดีๆ ที่อยู่ในใจตลอดไป

วันเสาร์ที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

หนังซ้อนหนังของ โมห์เซ่น มัคมาลบัฟ

โดย โมรีมาตย์ ระเด่นอาหมัด

อ่านบทความเกี่ยวกับ ซามีร่า มัคมาลบัฟ ในสาวมุสลิมทำหนังได้ที่นี่ค่ะ
http://ninamori.blogspot.com/2007/07/blog-post_03.html


เคยเขียนถึงลูกสาว ซามีร่า มัคมาลบัฟ มาแล้ว รอบนี้ขอเขียนถึงต้นแบบอย่าง โมห์เซ่น มัคมาลบัฟ ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นไกลเขาคือพ่อของเธอนั่นเอง และที่น่าทึ่งคือสมาชิกทุกคนในครอบครัวมัคมาลบัฟ ทั้งเมีย ลูก หลาน และเหลน ล้วนได้เชื้อพรสวรรค์มาจากเขาไม่ทิ้งห่างกัน

หนังของ โมห์เซ่น ชวนให้นึกถึงเจ้าหน้าที่อนามัยในชนบทของชนบทอีกทีแถว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจเป็นเพราะงานของทั้งสองไม่ใช่เพียงให้เวลาเท่านั้น แต่ต้องมอบหัวใจด้วย เพื่อที่จะได้ดูแลและเข้าใจปัญหารายวันมากมายที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งเรื่องจุกจิกต่างๆ ของชาวบ้าน การให้ความสำคัญต่อรายละเอียดเล็กๆ น้อย ๆ จึงเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ชีวิตซึ่งกันและกัน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกคนมีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและแบ่งปันให้สังคมรอบข้าง

อย่างหนัง 2 เรื่องที่จะพูดถึงนี้ ที่ผสมชั้นเชิงฉลาดคิดและความเป็นธรรมชาติจนยากที่จะแยกออกว่าฉากไหนคือการแสดงกันแน่ เพราะมันไม่มีพรมแดนแยกระหว่างของจริงกับของปลอม

ในหนังของ โมห์เซ่น เรื่อง Salaam Cinema ที่เขาสร้างขึ้นเพื่อร่วมฉลองวาระ 100 ปีภาพยนตร์โลกในปี 1995 ฝูงชนจำนวนมากต่างเบียดเสียดพากันมาสมัครเป็นนักแสดงจนเกิดม็อบขนาดย่อมที่หน้าสตูดิโอ รั้วเหล็กแทบพังเมื่อใบสมัครถูกแจกจ่ายออกไป ทั้งหญิงชายต่างแย่งชิงแบบฟอร์มกันเหมือนคนบ้า พวกเขายืนรอทั้งวันเพื่อพบหน้าผู้กำกับ -คือตัว โมห์เซ่น เอง !!! พวกผู้ชายต่างแต่งหล่อเพื่อให้เป็นที่หมายตา ส่วนกลุ่มผู้หญิงดูกลมกลืนกันไปหมดในชุดผ้าคลุมยาวสีดำทั้งตัว มันน่าทึ่งที่ว่าขนาดบ้านเมืองของเขาผ่านปัญหาการปกครองที่หนักหนามา แต่ทุกคนยังบ้าดูหนังและทุ่มเทอยากแสดงหนังมาก ซ้ำยังมองหนังเป็นศิลปะที่จำเป็นต่อชีวิต และมีคุณค่าทางความหมายลึกซึ้งต่อโลกใบนี้

ฉากคัดเลือกรับสมัครตัวแสดงดูเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ แต่อยู่ๆ ผู้เขียนก็เกิดอาการคันมือคันเท้าเมื่อหญิงคนหนึ่งที่มาสมัคร เธอทำตัวน่าหงุดหงิดมาก จะเอาอย่างโน้นอย่างนี้ต่อรองผู้กำกับต่างๆ นาๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะแสดงได้หรือเปล่า บ้างก็กล้าเหลือเกินเถียง โมห์เซ่น แบบคำไม่ตกฟาก ไม่ก็อ้างว่าอุตส่าห์เดินทางมาไกล ฝันอยากเป็นดารามาตลอดชีวิต แต่พอบอกให้หัวเราะร้องไห้ก็เล่นตัวสารพัด

ส่วนบรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลายต่างงัดความสามารถออกมาเต็มที่ จะให้ทำอะไรเหรอขอให้บอกทำได้หมดจด ทั้งท่าหมอบลงพื้น หลบระเบิด หรือจะให้ยิ้มใสซื่อโชว์เสน่ห์แพรวพราวเห็นทุกห้องหัวใจก็ทำได้ เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก บางคนบอกอย่างไม่เขินอายว่าตัวเองเหมาะที่จะเล่นหนัง เพราะหล่อเหมือนอแลง เดอลอง บางคนก็แกล้งเป็นคนตาบอดเรียกร้องความสนใจเพื่อจะได้สิทธิพิเศษ

ซึ่งภาพทั้งหมดที่เห็นร่วมทั้งฉากการสัมภาษณ์ เราต่างไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าไหนฉากจริง ไหนคือการแสดง ก็ขนาดผู้สมัครเองที่ผ่านการคัดเลือกแล้วยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองได้เป็นนักแสดงแล้วจริงๆ หรือเปล่า ทั้งๆ ที่โมห์เซ่นตอบตกลงแล้ว

หนังจบพร้อมคำถามคาใจว่าตกลงทั้งหมดในหนังนี้มันของจริงหรือของปลอม ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความขยันของตากล้องที่เก็บรายละเอียดภาพเหล่านั้น แต่ถ้าทั้งหมดเป็นการแสดง ฮอลลีวู้ดก็ควรศึกษาการแสดงจากชาวบ้านกลุ่มนี้ หรือว่าจริงๆ แล้วมีเพียงโมห์เซ่นคนเดียวเท่านั้นที่เป็นนักแสดง โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าหนังได้เริ่มถ่ายไปแล้ว

ส่วนเรื่อง A Moment of Innocence ที่โมห์เซ่น เองยังร่วมแสดงเหมือนเคยนั้น อาจถือเป็นภาคต่อจาก Salaam Cinema ก็ว่าได้เพราะนักแสดงบางคนจากเรื่องก่อนก็พากันมาโผล่ในเรื่องนี้ และยังคงสไตล์หนังซ้อนหนังอีกเช่นเคย เป็นการจำลองเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงระหว่างโมห์เซ่นกับเมอร์ฮาดี้ อดีตทหารยามในสมัยการปกครองของพระเจ้าชาห์ ซึ่งครั้งหนึ่งนานมาแล้วทั้งคู่ได้หลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน แต่ด้วยจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่าง โมห์เซ่น ได้นำหญิงสาวคนนั้นมาทำหน้าที่นกต่อ ทำทีเป็นถามเวลา ซึ่ง เมอร์ฮาดี้ ทำหน้าที่ประจำการอยู่ แต่บกพร่องต่อหน้าที่เพราะหัวใจไหวหวั่น สุดท้ายเหตุบานปลาย โมห์เซ่น ใช้มีดแทง เมอร์ฮาดี้ จนฝ่ายหนึ่งนอนโรงพยาบาล อีกฝ่ายติดคุก

หลายปีผ่านไป ชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้กำกับหนังของโมห์เซ่น ทำให้เมอร์ฮาดี้กลับมาทวงหนี้แค้นเก่าโดยการขอเป็นนักแสดง โมห์เซ่นจึงได้ไอเดียทำหนังจำลองอดีตระหว่างเขากับเมอร์ฮาดี้ โดยใช้นักแสดงหนุ่มหน้าใหม่ 2 คนแสดงเป็นตัวทั้งคู่ในอดีต แรกทีเดียว เมอร์ฮาดี้ ก็ผิดหวังอยากหาหนุ่มหล่อมาแสดงเป็นตัวเอง แต่แล้วก็ยอมจำนน ถูกบังคับให้ใช้หนุ่มที่ โมห์เซ่น เลือกมา เขาจึงก้มหน้าก้มตาฝึกฝนบุคลิกหนุ่มคนนั้นให้เล่นหนังออกมาดีที่สุด ส่วน โมห์เซ่น ก็จัดเตรียมตัวตนวัยหนุ่มของเขาเหมือนกัน รวมทั้งควานหาหญิงสาวเพื่อมาร่วมจำลองบทบาทครั้งสำคัญนี้ ซึ่งก็พบกับอุปสรรคบ้าง เช่น จำต้องเปลี่ยนตัวจากสาวคนแรกที่หมายตาไว้ ต่อมาพอเลือกสาวคนใหม่สำเร็จ ก็ต้องมาตระเตรียมให้เข้าฉากกับหนุ่มน้อยที่แสดงเป็นตัวเอง

และแล้วการเตรียมงานสร้างหนังก็ดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ขบขันตื่นเต้น พร้อมกับนำไปสู่บทสรุปที่ทุกฝ่ายซึ่งเคยร่วมในเหตุการณ์วันนั้นต่างลืมไม่ลง เพราะคนดูนั้นคงทั้งเอ็นดูและผูกพันกับเรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของพวกเขา แล้วจะคอยลุ้นว่าเรื่องจะลงเอยด้วยความรุนแรงแบบในชีวิตจริง หรือคลี่คลายเป็นหนังในรูปแบบใด

น่าทึ่งที่ว่าบทสรุปสุดระทึกนี้แฝงสัมผัสนุ่มนวลแนวแปลกแนบมาด้วย การเลือกจบหนังลงด้วยเครื่องหมายคำถามในวินาทีเป็นตายของการตัดสินใจเลือก คือ “เลือก” ที่จะให้อภัย หรือ “เลือก” ที่จะใช้ความรุนแรงนั้น อาจจะทำให้คำว่า “สมานฉันท์” แบบพูดแต่เพียงลมปากของหลายสถาบันต้องกลายเป็นเรื่องตลกไปในทันใด

วันจันทร์ที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

เรียนยาวีนอกปอเนาะ ตอน 8 เหยียบโลก



อยู่มาวันหนึ่ง ฮาฟีสกำลังเล่นเหยียบฝาชี อาบ๊ะ จึงห้าม

อาบ๊ะ - ฮาฟีส ยาแง ยีเยาะ ซายี ล๊า ดาแลดูนียอ นี่ ตะเด๊าะ ปียอ บูวะ กีตู
(พ่อ – ฮาฟีส อย่าเหยียบฝาชีแบบนั้นซิ ในโลกนี้ไม่มีใครเขาทำอย่างนั้นหรอก)

ฮาฟีส – บือลา ล๊ะ ฮาฟีส ตะเด๊าะ ยีเยาะ ซายี กาลี ตาปี ฮาฟีส ยีเยาะ ดูนียอ
(ฮาฟีส – ไม่เป็นไรครับ ฮาฟีสไม่ได้เหยียบฝาชีหรอก แต่ฮาฟีสกำลังเหยียบโลกต่างหากล่ะ)

ว่าแล้ว ฮาฟีสก็เล่นเหยียบฝาชีต่อ เฮ้อ ! สงสารฝาชีจังเน๊อะ

ภาษาไทย = = = = = => ภาษามลายู
อย่า = = = = = => ยาแง
เหยียบ= = = = = => ยีเยาะ
ฝาชี = = = = = => ซายี
ใน = = = = = => ดาแล
โลก = = = = = => ดูนียอ
ไม่มี = = = = = => ตะเด๊าะ
ใคร = = = = = => ปียอ
ทำ = = = = = => บูวะ
อย่างนั้น = = = = = => กีตู
ไม่เป็นไรหรอก = = = = = => บือลา ล๊ะ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

หมายเหตุ : อ่านตอนอื่นๆ ที่ผ่านมาได้ที่นี่ค่ะ

เรียนยาวีนอกปอเนาะ ตอน 1 http://ninamori.blogspot.com/2007/07/1_2078.html

เรียนยาวีนอกปอเนาะ ตอน 2 อาหารอร้อยอร่อย
http://ninamori.blogspot.com/2007/08/blog-post_19.html

เรียนยาวีนอกปอเนาะ ตอน 3 วันกียามัต (วันสิ้นโลก)http://ninamori.blogspot.com/2007/09/3.html

เรียนยาวีนอกปอเนาะ ตอน 4 อยู่เวรยาม http://ninamori.blogspot.com/2007/09/4_24.html

เรียนยาวีนอกปอเนาะ ตอน 5 จอมวางแผน http://ninamori.blogspot.com/2007/09/5.html

เรียนยาวีนอกปอเนาะ ตอน 6 กวนโอ๊ย http://ninamori.blogspot.com/2007/11/6.html

เรียนยาวีนอกปอเนาะ ตอน 7 แค้นสุดๆ http://ninamori.blogspot.com/2008/06/7.html

วันอาทิตย์ที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

เรียนยาวีนอกปอเนาะ ตอน 7 แค้นสุดๆ


วันหยุด อูมี มีงานหลายอย่างที่จะต้องสะสาง ฮาฟีสก็เป็นผู้ช่วยมือหนึ่ง (ช่วยก่อกวน) บางอย่างถ้าเห็นว่าอันตรายสำหรับเด็กก็จะห้าม แต่อะไรก็ตามถ้าถูกห้าม มันก็ยิ่งยั่วยุให้เกิดความอยากลอง สุดท้ายเมื่อถึงขีดสุดของความอดทน ฮาฟีสเลยถูกเพี๊ยะเข้าที่มือ 1 ที ได้ผลแฮะ หยุดก่อกวนทันที แต่หันมามองนิ่งๆ ก้มหน้าหน่อย (คงจะตกใจและน้อยใจเพราะไม่เคยถูกตี) ซักพักน้ำตาค่อยๆ ซึมออกมาแล้วรวมตัวเป็นหยดน้ำหล่นแหมะ ก่อนที่จะพรั่งพรูออกมา และแล้วการบรรเลงคอนเสิร์ตก็เริ่มขึ้น อาบ๊ะ ก็เลยเพิ่งคิดที่จะแปลงกายเป็นอัศวินขี้หมา เอ๊ะ ! อัศวินขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยปลอบและอุ้มฮาฟีสไปให้พ้นจากนางยักษ์ใจร้าย

ฮาฟีส - อาบ๊ะ ! อูมี ดือกุ๊ ฮาฟีส เนาะ มาฮัย ซีกิ เตาะเละห์ ฮือ ฮือ
(พ่อ ! แม่ขี้เหนียวเน๊อะ ฮาฟีสจะเล่นนิดเดียวก็ไม่ได้ ฮือ ฮือ)

อาบ๊ะ - บือลาล๊ะ กีตอ กี ดืองา ลากู แด๊ะห์
(ช่างเถอะ เราไปฟังเพลงกันดีกว่านะ)
... อาบ๊ะ ก็เปิดเพลงให้ฟัง “มุสลีมีน ดัน มุสลีมะ เบิร์ด บิสมีละ เซอตียับ มาซอ” …

ฮาฟีส - อาบ๊ะ มุสลีมีน มุสลีมะ ตุ๊ฮ์ กาปอ ?
(พ่อ มุสลีมีน มุสลีมะ นั้น คืออะไรเหรอ ? )

อาบ๊ะ - อ๋อ ! มุสลิมีน ตุ๊ฮ์ ออแร ยาแต มุสลีมะ ตุ๊ฮ์ ออแร ตีนอ
(อ๋อ ! มุสลิมีน นั้นหมายถึงผู้ชาย มุสลีมะ นั้นหมายถึงผู้หญิง)

ฮาฟีส - ป๊ะ อูมี ยาดี ออแร ตีนอ กือเดาะห์ ?
(แล้ว แม่เป็นผู้หญิงใช่มั๊ย ?)

อาบ๊ะ - แยหลอ อูมี ยาดี ออแร ตีนอ อาบ๊ะ งา ฮาฟีส ยาดี ออแร ยาแต
(ใช่แล้ว แม่เป็นผู้หญิง พ่อกับฮาฟีสเป็นผู้ชาย)

ฮาฟีส - อาบ๊ะ อาบ๊ะ อูมี ยาดี ออแร ตีนอ กาปอ ตาฮู เดาะ ยูรุฮ์
(พ่อ พ่อ แม่เป็นผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ ไม่เรียบร้อยเลยน่ะ)

อาบ๊ะ - !?$?!?

ภาษาไทย = = = = = => ภาษามลายู
ขี้เหนียว = = = = = => ดือกุ๊
เล่น = = = = = => มาฮัย
นิดเดียว = = = = = => ซีกิ
ไม่ได้ = = = = = => เตาะเละห์
ช่างเถอะ = = = = = => บือลาล๊ะ
เรา = = = = = => กีตอ
ฟังเพลง = = = = = => ดืองา ลากู
คน = = = = = => ออแร
ผู้หญิง = = = = = => ตีนอ
ผู้ชาย = = = = = => ยาแต
ไม่รู้ = = = = = => เดาะห์ตาฮู
ไม่เรียบร้อย = = = = = => เดาะห์ ยูรุฮ

วันอังคารที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

แสตมป์นักเขียน

by Ninamori
ตอนเป็นเด็ก ตัวเล็กกะเปี๊ยก สูงราวๆ เอวผู้ใหญ่น่าจะได้ ไม่น่าเชื่อว่าตอนนั้นได้ตกหลุมรักเสน่ห์สระอักษรที่วิ่งในกระดาษสักแล้ว เธอทำให้ฉันทั้งทึ่ง ประหลาดใจ และตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็น รู้สึกสนุกยิ่งกว่าของเล่นทั้งหลายที่นอนแอ้งเม้งในตระกร้าเสียอีก

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งเกิดอยากได้กระโปรงลายสก๊อตสีแดงให้ตุ๊กตาแพะใส่ เลยไปอ้อนพี่สาวให้ช่วยทำให้หน่อย แต่พี่ยังไม่ว่างเพราะกำลังทำการบ้านอยู่ พี่ขยับเก้าอี้ให้นั่งใกล้ๆ เธอสัญญาว่าจะทำให้เมื่อทำการบ้านเสร็จ แต่มีข้อแม้ว่าฉันต้องนั่งให้เรียบร้อย


สบายมาก ! ฉันทำตามที่พี่บอก มือทั้งสองยังกอดตุ๊กตา ตาก็จ้องที่กระดาษ ไม่ยักรู้ว่าพี่สาวของฉันมีเวทมนต์ด้วยแฮะ มันเป็นอะไรที่วิเศษมากเลยนะ ไอ้เส้นๆ ที่พี่เรียกว่าตัวหนังสือนี่นะ มันคล้ายมายากลเลย มันเหลือเชื่อจริงๆ แค่พี่ขยับมือขึ้นลงนิดหน่อย ก็สามารถปลุกเศษให้เส้นปรากฏขึ้นมา

“โตขึ้น ฉันจะเขียนหนังสือให้ได้ จะเขียนให้สวยๆ เหมือนพี่เลย” ฉันวาดฝันไว้ในใจ

อีก 2-3 ปีต่อมาฉันก็ได้ไปโรงเรียนกับเขาสักที... ฉันยังไม่ลืมความฝันนั้น...

แต่ที่โรงเรียนไม่เป็นอย่างที่คิด ครูดุมาก พวกเรามักยั่วโมโหครูบ่อยครั้ง ผลก็คือไหล่ขวาของฉัน ของเพื่อน และเพื่อนอีกคนต่างบวมเป่ง เหตุเพราะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ใครๆ ก็อยากเป็นเด็กดี เป็นคนโปรดของครูล่ะนะ แต่พวกเราไม่เข้าใจภาษาที่ครูพูดจริงๆ เกิดมาพวกเราก็พูดแต่ภาษามาลายู น่าเสียดายจังที่ครูพูดภาษาเราไม่ได้

ฉันไม่อยากเขียนหนังสือ... แล้วฉันก็ไม่อยากไปโรงเรียนด้วย... นิสัยนี้ติดตัวจนโต หนังสือเป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุด เปิดทีไรง่วงนอนทุกที ทุกอย่างเป็นทางการ อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม

จนกระทั่งเจ้าสำนักฟิล์มไวรัสมอบหนังสือเล่มหนึ่งเป็นของขวัญ มีชื่อว่า เมตามอร์ฟอร์ซิส ของฟรานซ์ คาฟก้า เป็นเรื่องเหนือจริง ที่เต็มไปด้วยจินตนาหลุดโลก มันสยองมากเลยนะ ถ้าอยู่ๆ เมื่อเราตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองกลายเป็นแมลง มีขนเต็มตัว ดูประหลาดๆ น่าเกลียดๆ ที่สำคัญเราไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเก่าได้แล้ว ทั้งๆ ที่จิตวิญญาณความรู้สึกนึกคิดยังเป็นคน แต่ต้องกินอยู่อย่างแมลง

ต้องขอขอบคุณ คาฟก้า ที่เนรมิตงานนี้ออกมา และเจ้าสำนักฟิล์มไวรัสที่แนะนำหนังสือดีๆ ให้อ่าน ซึ่งทำให้มนต์เสน่ห์ของอักขระกลับมาโลดแล่นในใจฉันอีกครั้ง

วันพฤหัสบดีที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ประวัติแสตมป์ไทย

by Ninamori

ย้อนกลับไปเมื่อ 100 ปีก่อนโน้น... ข้าน้อยต้องขอคาราวะคุณทวดทั้งหลายจากใจทั้งหมดที่มี เพราะในสมัยนั้นกว่าจะส่งจดหมายสักฉบับ คุณทวดของพวกเราต้องเดิน...แล้วก็เดิน... เป็นเดือนๆ ด้วยลำแข้งสองขาโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ เพื่อให้จดหมายถึงปลายทางอย่างปลอดภัย

จนกระทั่งปี พ.ศ. 2418 เมื่อประเทศไทยมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ ได้มีการจัดตั้งสถานกงสุลขึ้นในกรุงเทพ ฯโดยสถานกงสุลอังกฤษเป็นคนริเริ่มการไปรษณีย์ขึ้น บริการรับฝากจดหมายหรือหนังสือจากประเทศไทย ไปยังที่ทำการไปรษณีย์ประเทศสิงคโปร์ และส่งต่อยังจุดหมายปลายทาง โดยใช้ตราไปรษณีย์ที่นำมาจากสิงคโปร์ พิมพ์อักษรว่า “ B “ ลงบนตราไปรษณียากรนั้น แทนคำว่า “ BANGKOK “ ผนึก ทับบนจดหมาย หรือหนังสือเพื่อฝากส่งไปกับเรือพาณิชย์ แต่ตอนหลังได้ยกเลิกไปเมื่อมีบริการไปรษณีย์ของสยามอย่างเป็นทางการ

และในช่วงเวลานั้น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้า ภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช กับเจ้านายกลุ่มหนึ่ง ได้ร่วมกันจัดทำหนังสือพิมพ์รายวัน ชื่อ "ข่าวราชการ" ( COURT ) ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนต้องมีคนเดินส่งหนังสือแก่สมาชิกทุกเช้า ดังนั้นจึงได้ทรง จัดพิมพ์ " ตั๋วแสตมป์ " เพื่อใช้เป็นค่าบริการ ซึ่งต่อมาแสตมป์ได้ขยายไปถึงการเดินส่งจดหมายแก่สมาชิกด้วย โดยตั๋วแสตมป์ 1 ดวง แทนราคา 1 อัฐ แต่ตั๋วแสตมป์ดังกล่าวไม่มีตัวอักษร หรือเลขหมาย บอกราคาไว้

และประมาณกลางปี พ.ศ. 2423 เจ้าหมื่นเสมอใจราช ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ขอให้พระองค์ทรงจัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้นในประเทศไทย ปรากฏว่าพระองค์มีพระดำริเห็นชอบ จึง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุ รังษีสว่างวงศ์ ทรงเตรียมจัดตั้งการไปรษณีย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2424 จนถึง วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งกรมไปรษณีย์และโทรเลขขึ้น โดย ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราช การกรมไปรษณีย์โทรเลข โดยใช้อาคารริมแม่น้ำเจ้าพระยาเหนือ ปากคลองโอ่งอ่าง เป็นสถานที่ทำการแห่งแรกและเรียกอาคารหลังนี้ว่า “ไปรษณียาคาร“ และได้สั่งพิมพ์ตราไปรษณียากร จาก บริษัท WATERLOW AND SOWS LONDON มาเพื่อเตรียมใช้งาน 6 ชนิดราคา คือ โสฬส อัฐ เสี้ยว ซีก เฟื้อง สลึง โดยเรียกแสตมป์ ชุดนี้ว่า “ ชุดโสฬส “ แสตมป์ชุดแรกนี้ เป็นภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผินพระพักตร์เบื้องซ้ายภายในกรอบรูปไข่ เริ่มออกจำหน่าย วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 ปัจจุบันถือว่าเป็นแสตมป์ที่หายากมากและราคาแพงลิบลิ่วทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามการที่แสตมป์ดวงใดจะทรงคุณค่า ไม่ได้อยู่ที่ความ เก่าแก่อย่างเดียว แต่อาจขึ้นอยู่กับจำนวนพิมพ์น้อย หายาก และเป็นที่สนใจของนักสะสม

ในปัจจุบันแสตมป์ไทยได้พัฒนาเท่าเทียมกับอารยะประเทศ มีนักออกแบบบางคนพยายามสร้างผลงานของตนเอง โดยยึดหลักรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์แห่งความเป็นไทย

วันพุธที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

แสตมป์ดวงแรกของโลก

by Ninamori

นั่งนึกก่อนก้าวออกจากบ้านว่า...หลังจากส่งพัสดุ (ที่ข้างในบรรจุหนังสือฟิล์มไวรัส เล่ม 4) ให้ลูกค้าที่ลำพูนแล้วตัวเองอยากได้อะไรจากไปรษณีย์บ้าง...แสตมป์ผลไม้...แสตมป์แมว...แล้วก็แสตมป์ไก่แจ้... อ้อ! แสตมป์ดอกไม้ด้วย

ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ทุกท่านด้วยนะคะ ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดส่งสางสำแดงเล่มนี้ สู่จุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยหายห่วง ทั้งสระแก้ว, สงขลา, ปราจีนบุรี, ชลบุรี, เชียงใหม่, ยโสธร, นนทบุรี, กระบี่, ระยอง, กาญจนบุรี, ราชบุรี และร้อยเอ็ด

แล้วใครกันนะ...ที่ออกแบบแสตมป์ดวงแรกของโลก
เมื่อก่อนนั้นยังไม่มีระบบฝากส่งจดหมายที่ดีเหมือนปัจจุบัน ประเทศอังกฤษได้นำเอาแบบอย่างจากไปรษณีย์ฝรั่งเศสมาประยุกต์ใช้ แต่ปรากฏว่าไม่ประสบผลเท่าที่ควรและประสบภาวะขาดทุนมาตลอด เนื่องจากในระยะเริ่มต้นนั้น ผู้ส่งจดหมายไม่ต้องเสียค่าฝากส่ง บุรุษไปรษณีย์จะนำจดหมายไปส่งให้กับผู้รับและเรียกเก็บเงินจากปลายทาง แต่ปรากฏว่าผู้รับหลีกเลี่ยงและไม่ยอมจ่ายเงินค่ารับจดหมายเยอะมาก

ปี พ.ศ.2379 นายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ( Rowland Hill ) ชาวอังกฤษ ได้เสนอวิธีคิดค่าธรรมเนียมในการฝากส่งใหม่ โดยให้ถือน้ำหนักเป็นเกณฑ์ และกำหนดให้มีมาตรฐานต่อจดหมาย 1 ฉบับ ต่อ 1 เพนนี นอกจากนี้ได้เสนอให้มีการจัดพิมพ์ตราไปรษณียากร หรือแสตมป์ ( Postage Stamp ) สำหรับให้ผู้ใช้บริการซื้อไว้เพื่อปิดผนึกบนห่อซองจดหมาย ณ บริเวณมุมบนด้านขวามือ เพื่อแสดงให้ทราบว่าจดหมายฉบับนั้นได้ชำระค่าธรรมเนียมแล้ว

ข้อเสนอของนายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลอังกฤษ ประเทศอังกฤษจึงเป็นประเทศแรกที่ได้ปฏิรูปการไปรษณีย์เสียใหม่ โดยให้ผู้ฝากส่งเป็นผู้ชำระค่าจดหมายล่วงหน้า และแสตมป์ดวงแรกก็ได้อุบัติขึ้น เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2383
แสตมป์ชนิดราคา 1 เพนนีสีดำ มีพระบรมฉายาลักษณ์ผินพระพักตร์ข้างของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย กษัตริย์อังกฤษในสมัยนั้น นักสะสมจึงเรียกกันทั่วไปว่า ชุด "เพนนีแบล็ค" ( PENNY BLACK ) แสตมป์ชุดแรกของโลกมีข้อสังเกตได้ว่าแตกต่างจากแสตมป์ชุดอื่นๆ 3 ประการ คือ ไม่มีชื่อประเทศ ไม่มีกาวด้านหลัง และไม่มีฟันแสตมป์ ด้วยจำนวนดวงในแผ่นมีทั้งสิ้น 240 ดวง เมื่อจะใช้ต้องใช้กรรไกรตัดออกมา ทำให้แสตมป์มีขอบเรียบทั้ง 4 ด้านสำหรับนายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ผู้ทำความดีแก่การไปรษณีย์อังกฤษอย่างเอนกอนันต์ ภายหลังสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ให้เป็นขุนนางชั้นบาธ ( BATH ) ตำแหน่ง เซอร์ โรว์แลนด์ ฮิลล์ ( Sir Rowland Hill )

วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑

ต้นไม้ในสวน Secret Gardens

by Ninamori






ไม่เอาน่า... อย่าเครียด อย่าหงุดหงิดไปเลยนะ อากาศมันก็ร้อนของมันแบบนี้แหละทำงั๊ยได้ล่ะ แต่มีวิธีคลายร้อนแบบง่ายๆ สบายๆ และประหยัดสุดๆ มาฝาก รับรองว่าเพื่อนๆ จะรู้สึกโล่ง เย็นสบาย และมีความสุขขึ้นอีกเป็นกอง ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะจ๊ะ

วิธีที่ว่าก็คือ “ เดินเล่นในสวนสาธารณะ ” จะว่าไปแล้วพวกเราก็โชคดีนะ ที่กรุงเทพมีสวนสวยๆ ให้เลือกเดินหลายแห่งกระจัดกระจายตามจุดต่างๆ เช่น สวนสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ,สวนจตุจักร, สวนรถไฟ, สวนลุมพินี, สวนสราญรมย์, สวนมณีนาถ, สวนเบญจศิริ เป็นต้น ซึ่งแต่ละสวนก็มีเสน่ห์ แตกต่างกันไป เพราะนอกจากจะได้ชมความงามของสวนแล้ว สิ่งแวดล้อม และชุมชนรอบๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน อย่างเช่น 3 สวนต่อไปนี้

สวนลุมพินี
อยู่ตรงข้ามสวนลุมไนท์พลาซ่า ใกล้สาทร และห้างโรบินสันสีลม ที่นี่นอกจากจะมีต้นไม้ใหญ่เก่าแก่นับร้อยๆ ต้นแล้ว ภายในสวนยังมีโรงเรียนประถม มีชมรมผู้สูงอายุ และมีห้องสมุดประชาชนที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำใจและทันสมัยมาก
เพราะนอกจากจะได้ยืม-คืนหนังสือ, CD, DVD, VCD, ดูหนัง , ฟังเพลงแล้ว เขายังมีบริการฝึกอบรมคอมพิวเตอร์สำหรับประชาชนทั่วไป มีกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับเด็ก และกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจเป็นระยะๆ และมีบริการอินเตอร์ฟรีๆ ด้วยนะ ห้องสมุดนี้อยู่ด้านหลังพระบรมรูปอนุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 สร้างมาตั้งแต่ปี 2498 โน้นแน่ะ ส่วนใครที่สนใจจะสมัครเป็นสมาชิกก็ง่ายนิดเดียวเพียงเตรียมสำเนาบัตรประชาชน/ทะเบียนบ้านและค่าสมัครท่านละ 10 บาทต่อปีเท่านั้น

สวนสราญรมย์
อยู่ใกล้สนามหลวง ข้างวัดพระแก้ว และปืนใหญ่ รอบๆ สวนรายล้อมด้วยตึกสวยๆ แบบยุโรปซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวงต่างๆ จนคุณอาจรู้สึกว่าตัวเองเดินอยู่ ต่างประเทศก็ว่าได้ สวนที่นี่สวยร่มรื่นและเงียบสงบมาก ขนาดของสวนกำลังดี ไม่ใหญ่มากนัก ซึ่งสามารถวิ่งออกกำลังกายรอบสวนได้สบายๆ ช่วงเย็นที่นี่จะคึกคักเป็นพิเศษเพราะมีคนมาทำกิจกรรมหลากหลายมีทั้งกลุ่มนักเต้นแอโรบิก นักวิ่งข้าราชการและชาวบ้าน นักเต้นลีลาศที่มาซ้อมตรงศาลาย้อนยุค กลุ่มผู้สูงอายุที่มาร่ำกระบองริมสระน้ำ และอีกหลายมุมที่น่าสนใจ ส่วนอีกหนึ่งจุดเด่นที่เป็นเสน่ห์ของที่นี่คือเรือนกระจกซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 อายุกว่า 100 ปีมาแล้ว ต่อมาเปิดเป็นโรงเรียนต้นไม้ แต่ปัจจุบันปิดไว้ชั่วคราว ส่วนด้านหลังสวนสราญรมย์จะเป็นคลองเล็กๆ ชวนให้ นึกถึงคลองเวนนิส มีสะพานข้ามด้วยมีคำจารึกไว้ดังนี้ สะพานนี้นามว่า “สะพานหก” สร้างมาแต่รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสะพาน แบบฮอลันดา (เนเธอร์แลนด์) สามารถชักขึ้นลงให้เรือผ่านได้ นามนี้คงเรียกขานสืบต่อมา แม้ว่าจะได้เปลี่ยนสภาพเป็นสะพานข้ามไปแล้วก็ตาม และหากเราเดินเลาะคลองนี้ไปเรื่อยๆ ก็เข้าสู่อีกชุมชนที่น่าสนใจคือ แพร่งภูธร ที่ทั้งสวย และสงบยิ่งนัก

สวนมณีนาถ
อยู่ตรงข้ามวัดสุทัดวราราม ใกล้โรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และใกล้เสาชิงช้า (ยักษ์) เสน่ห์ของสวนนี้คือ จะรายล้อมด้วยป้อมสูงๆ ไม่เหมือนที่ไหนๆ ที่น่าทึ่งคือส่วนหนึ่งของส่วนเป็นเรือนจำที่สามารถเห็นห้องขังได้ในระยะปะชิด บอกตามตรงว่าตอนที่เดินในสวนนี้ครั้งแรกใจมันลุ่มๆ ดอนๆ บอกไม่ถูก แต่พอรู้ทีหลังว่าไม่มีนักโทษอยู่แล้วก็โล่งใจไปแยะ นอกจากสะดุดตากับป้อมแล้ว อีกอย่าง ที่แปลกตาคือหอยสังข์ยักษ์ที่อยู่กลางสวน จนบางครั้งก็อดสงสัยว่าจะมีเด็กชายซ่อนอยู่ข้างในหรือเปล่านะ






ขอให้ทุกท่านมีความสุขสดชื่นกับธรรมชาติอันเขียวขจี อ้าว...สูดออกซิเจนให้เต็มปอดจ้า