by Ninamori
แตน แต๊น แต๋น แตน... เจ้าหญิงเสด็จแล้ว... ต่างตื่นเต้นดีใจที่จะได้เห็นเจ้าหญิงที่สง่างามอย่างใกล้ชิด เจ้าหญิงเสด็จในชุดกระโปรงพองยาวถึงพื้น เจ้าหญิงยิ้มทักทายทุกคนที่เข้าเฝ้าอย่างนุ่มนวลอ่อนหวานและเป็นกันเองท่ามกลางพิธีรีตอง(ที่น่าเบื่อ) ผู้ชายโค้งคำนับแล้วรายงานตัว ข้าพระพุทธเจ้า... ๆๆๆๆ ฯลฯ ผู้หญิงถอดสายบัว รายงานตัว หม่อมฉัน... ๆๆๆ ฯลฯ (ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น) เจ้าหญิงโค้งศีรษะเล็กน้อย ยื่นมือ แล้วพูดทักทายสั้นๆ ทันใดนั้นกล้องก็จับภาพไปที่เท้า (ใต้กระโปรงของเจ้าหญิง) ชะแว็บ ! ฉันเอ็นดูเมื่อเห็นเจ้าหญิงค่อยๆ ใช้ขาข้างหนึ่งเกาขาอีกข้างหนึ่งที่คันเป็นระยะๆ ไม่มีใครเห็นนอกจากฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น อุ๊ย ! เจ้าหญิงทำรองเท้าหลุดออกมานอกกระโปรงแล้ว...ทำงั๊ยดีล่ะนี่
นี่เป็นส่วนหนึ่งในหนัง Roman Holiday ที่ ออเดรย์ เฮพเบิร์น รับบทเป็นเจ้าหญิง เธอสามารถทำให้คนดูทั่วโลกเชื่ออย่างสนิทใจว่าเธอคือเจ้าหญิงจริงๆ ด้วยความบริสุทธิ์และบุคลิกที่สง่างาม แต่อีกด้านเธอคือเจ้าหญิงซนๆ คนหนึ่งที่ใฝ่หาเสรีภาพและชีวิตที่เรียบง่ายเหมือนคนธรรมดาทั่วไป
บทเจ้าหญิงในหนัง Roman Holiday ทำให้ ออเดรย์ เฮพเบิร์น สามารถคว้ารางวัลออสการ์ดารานำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมมากอดอย่างชุ่มช่ำใจ และหลังจากนั้นเธอก็เฉียดได้ออสการ์อีกหลายครั้งในหนังเรื่อง Sabrina (1954), The Nun’s Story (1961) และ Wait Until Dark (1967) และกลายเป็นนักแสดงหญิงเพียงคนเดียวที่สามารถครองความนิยมจากคนดูอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุด
ก่อนหน้านั้นฉันชอบ ศรีริต้า เจนเซ่น ฉันเคยเห็นเธอเดินแบบที่ซีคอนสแควร์ในระยะประชิดไม่ถึงเมตร เธอเป็นนางแบบเพียงคนเดียวที่หน้าตายิ้มแย้ม เธอสวยมาก สวยกว่าในทีวีหลายเท่า สวยแบบปากนิดจมูกหน่อย หลังจากวันนั้นเธอก็สิงสถิตในใจฉันตลอดมา
มาถึงตอนนี้ เมื่อได้รู้จักกับ ออเดรย์ เฮพเบิร์น (ในหนัง) เธอคืออีกคนที่ฉันชอบ และมีความสุขทุกครั้งที่ได้ดูหนังที่เธอเล่น เธอสามารถรักษาบุคลิกเด่นของตัวเองอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ในแบบฉบับกุลสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีกับลักษณะของสาวทอมบอย โดยมีองค์ประกอบต่างๆ คือทรงผมและเครื่องแต่งกาย
ออเดรย์ เฮพเบิร์น เกิดปี 1929 เป็นลูกครึ่งไอริชกับเนเธอร์แลนด์ เข้าสู่วงการนักแสดงตั้งแต่สมัยอยู่ในเนเธอร์แลนด์ หนังสั้นเรื่องแรกที่เธอเล่นคือ Netherlands in 7 Lessons (1948) หลังจากนั้นก็เล่นบทเล็กๆ หลายเรื่อง ส่วนหนังใหญ่เรื่องแรกของเธอคือ One Wild Oat (1951)
ฉันเฝ้าติดตาม ออเดรย์ เฮพเบิร์น มาพักหนึ่งแล้ว ตอนดูหนังเรื่อง Sabrina (1954) ที่เธอรับบทเป็นลูกสาวคนขับรถ เธอเป็นสาวน้อยช่างฝัน หญิงต่ำต้อยที่อยากมีอยากได้เหมือนคนอื่น (คนรวย) ซึ่งมีลักษณะของ “ขบถ” อยู่ในตัวเอง แต่แฝงอยู่ในความอ่อนหวานที่สดใส เธอหลงรักลูกเศรษฐีเจ้าของบ้านอย่างหัวปักหัวปำ (รักเขาฝ่ายเดียว) เพื่อไม่ให้ลูกสาวที่รักยิ่งตกอยู่ในโลกเพ้อฝัน พ่อของเธอจึงตัดสินใจส่งเธอไปสงบจิตสงบใจด้วยการเรียนทำอาหารที่ประเทศฝรั่งเศส
ที่ฝรั่งเศส นอกจากฝีมือปลายจวักที่ได้ มาถึงดินแดนเมืองแฟชั่นอันศิวิไลซ์ทั้งที เธอถือโอกาสปรับเปลี่ยนตัวเองยกเครื่องชุดใหญ่ใหม่หมดจด จากสาวซนๆ กลายเป็นหญิงสง่างาม ที่ไม่ว่าชายใดเห็นแล้วต้องตาค้าง
พอวันรุ่งขึ้นฉันกลับชอบหนัง Breakfast at Tiffany’s มากกว่า
เธอเล่นเป็นสาวบ้านนอกจนๆ ที่เปลี่ยนตัวเองเป็นสาวเปรี้ยวจี๊ดในนิวยอร์ก เธอเป็นโสเภณีที่มีเรด้าร์คอยจับผู้ชายรวยๆ ไม่ซ้ำหน้า แม้จะรู้ว่าเธอเป็นโสเภณี แต่เชื่อว่าไม่มีใครเกลียดเธอได้ลง เพราะเธอทั้งน่ารักและมีเสน่ห์มาก หนังแดกดันชาวอเมริกันที่วันๆ ชอบจัดงานปาร์ตี้ ฉันชอบเวลาที่เธอร้องเพลง Moon River มากๆ มันบอกตัวตนของเธอที่มีความผูกพันต่อบ้านเกิดได้เป็นอย่างดี มันช่างเพราะพริ้งและเศร้าแทบใจสลาย
เชื่อหรือไม่ว่าทันทีที่หนัง Breakfast at Tiffany’s ออกฉายทั้งเพลง ทรงผมและเสื้อผ้าทุกชุดที่เธอใส่กลายเป็นแฟชั่นฮิตไปทั่วโลก
ส่วนในหนังเรื่อง Paris When it Sizzles (1964) ซึ่งเป็นหนังแนวตลกโรแมนติก เธอรับบทเป็นเลขาหัวไว สามารถพิมพ์ดีดได้ฉับไวปานกามนิต และเก็บรายละเอียดทุกคำของเจ้านายนักเขียนบทหนัง (แสดงโดย วิลเลี่ยม โฮลเด้น) จากนักพิมพ์ดีดกลายเป็นผู้ช่วยคิดพล็อตหนัง ต่างปั่นงานแข่งกับเวลาเพื่อให้เสร็จทันส่งนายทุนภายใน 2 วัน พล็อตแล้วพล็อตเล่าพลัดเปลี่ยนไปอย่างสนุกสนานและตื่นเต้น ต่างถูกมนต์สะกดเข้าไปอยู่ในหนังที่ตัวเองสร้าง จนในที่สุดก็ได้บทเป็นที่พอใจ
หนังแดกดันกองเซ็นเซอร์นิดๆ ที่ฉากหนึ่ง วิลเลี่ยมบอกเลขาว่า “ อ้อ ! ให้ตัดฉากเลิฟซีนออก แม้ว่ามันจะเป็นแค่ฉากเลิฟซีนที่ไม่แรงนัก แต่อาจจะไม่ผ่านกองเซ็นเซอร์ได้” โอ้ ! นี่แสดงว่ากองเซ็นเซอร์ป่วนตั้งแต่สมัยโน้นแล้วเหรอนี่... โอ้ แม่เจ้า !
หรือบทตื่นเต้นปนตลกโรแมนติกก็มี ในหนัง Charade (1963) เธอรับบทเป็นภรรยาของอดีต จี.ไอ. ที่ทำงานในยุโรปซึ่งถูกฆ่าตาย ทำให้อีก 3 อดีต จี.ไอ ตามล่าเธอเพราะคิดว่ารู้ที่ซ่อนเงินจำนวนมหาศาลที่สามีของเธอขโมยไป
แม้เธอจะมีรูปร่างบอบบาง แต่ในหนังเรื่องนี้ขอยกนิ้วให้ เพราะเธอต้องวิ่ง และวิ่งๆๆๆๆ หนีคนร้ายอย่างไม่คิดชีวิตโดยที่ต้องสวมรองเท้าส้นสูงปลายแหลม ซึ่งการันตีความแข็งแกร่งของเธอได้เป็นอย่างดี
และเหมือนพบรักแรกเมื่อได้ดูหนังเพลงเรื่อง Funny Face (1957) ที่ออเดรย์ เฮพเบิร์น เล่นคู่กับซูเปอร์สตาร์เท้าไฟอย่าง เฟร็ด แอสแตร์ ที่เคยทำให้ฉันวิ่งวุ่นหาที่เรียนแท็ป ในหนังเธอเล่นเป็นหนอนหนังสือตัวเบ้อเร้อและเป็นพนักงานเพียงคนเดียวในร้าน
ส่วนเฟร็ด แอสแตร์ เล่นเป็นช่างภาพฝีมือเยี่ยมของนิตยสารแฟชั่นชั้นนำ แต่ต้องมาเบื่อซังกะตายกับนางแบบไร้ชีวิตที่ไม่ได้ดั่งใจที่บรรณาธิการจอมเผด็จการหามาให้
ในขณะที่เฟร็ดยังไม่ทันหายเซ็ง บรรณาธิการจอมเผด็จการก็เกิดขยะแขยงกับแนวเดิมๆ ของนิตยสาร อยากเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม จัดแจงสั่งงานคนโน้นคนนี้ ช่วงพริบตาเหล่าทีมงานพร้อมชุดอุปกรณ์ถ่ายแบบก็เริ่มออกเดินทางหาโลเกชั่น และมาลงเอยที่ร้านหนังสือที่ ออเดรย์ ทำงาน
ต้องเรียกว่า “บุกรุก” น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะไม่มีการขออนุญาตหรือขอความยินยอมใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขามาถึงก็คุ้ยเขี่ยหนังสือบนชั้นกระจุยกระจาย แล้วก็ถ่ายรูปๆ เขี่ยซ้ำแล้วก็ถ่ายรูปๆ โดยไม่แคร์เสียงร้องขอของสาวน้อยหน้าหวานของเรา เมื่อพวกเขาถ่ายภาพเป็นที่พอใจก็จากไป ปราศจากคำขอโทษหรือขอบคุณ
แต่น่าตลกที่ว่าสุดท้ายบรรณาธิการคนนี้ก็ต้องมาง้อเธอให้เป็นนางแบบ เพื่อโชว์ตัวคอลเลคชั่นใหม่ที่ฝรั่งเศสตามคำแนะนำของตากล้อง และเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอตกลงคือเพื่อจะได้ตามหานักปรัชญาคนโปรดของเธอที่ฝรั่งเศส
เล่นหนังกับราชานักเต้นแท็ปทั้งที ไม่มีเต้นคงหมดท่าซินะ
โอ้ ! ลัลล่า... ออเดรย์ใช้ความสามารถทางการเต้นรำได้สุดยอดมาก ๆ เธอผสมท่าเต้นแปลกๆ เข้าด้วยกันทั้ง แท็ป บัลเล่ต์ เบรกแดนซ์ ฮิปฮอป ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ฉันล่ะนี่ขำกลิ้งและขาเริ่มขยับไม่รู้ตัว
ไม่ใช่เพียงหนังแนวโรแมนติกเท่านั้นที่ ออเดรย์ เฮพเบิร์น ได้รับ หนังซีเรียสจริงจังเธอก็เล่นได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน อย่างในบทแม่ชีเรื่อง The Nun’s Story (1961) เธอใฝ่ฝันอยากอุทิศทั้งชีวิตและจิตใจเป็นแม่ชีเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากไร้ในคอนโก ซึ่งนอกจากความยากในการแสดงที่เธอต้องระวังคำพูด การวางตัวในแบบฉบับของแม่ชีแล้ว เธอยังต้องเผชิญกับความหนาวเหน็บของอุณหภูมิที่ติดลบหลายองศาตลอดการแสดงที่คอนแวนต์ ทันทีที่เสียงสเลทสั่งคัทในแต่ละซีน ออเดรย์ของเราตัวเขียวเลยแหละ ปากนี่สั่นยิกๆ แต่เธอก็ไม่เคยย่อท้อ ไม่เคยบ่น
ส่วนฉากที่ต้องแสดงในคอนโก อากาศที่นั่นเลวร้ายมากสำหรับเธอ มันร้อนถึง 58 องศา นับเป็นครั้งแรกในชีวิตการแสดงของเธอที่เรียกร้องสิทธิพิเศษ เธอบอกผู้อำนวยการสร้างให้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศในห้องพัก แต่แล้วจนแล้วจนรอดด้วยเหตุผลใดไม่ทราบเครื่องปรับอากาศที่ส่งไปไม่สามารถใช้งานได้
ฉันสงสารเธอจับใจ แต่เธอก็ยังยิ้มได้ ทำให้ฉันและทุกคนเชื่อว่าเธอคือแม่ชีคนนั้น เธอไม่แสดงออกให้เราเห็นแม้แต่น้อยว่าจริงๆ แล้วตอนเธอถ่ายฉากในคอนแวนต์นั้นเธอหนาวเกือบตาย หนังเรื่องนี้เธอได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมด้วยนะ
นี่แหละ คือ ออเดรย์ เฮพเบิร์น หญิงผู้สง่างามทั้งรูปร่างหน้าตา เธอเป็นคนเรียบง่าย กินง่าย ไม่เรื่องมาก และจัดเป็นดาราที่มีอัธยาศัยดีที่สุดคนหนึ่ง เธอเป็นขวัญใจของทุกคนในกองถ่าย และเป็นเจ้าหญิงของผู้ชมทั่วโลกตลอดกาล