อ่านบทความเกี่ยวกับ ซามีร่า มัคมาลบัฟ ในสาวมุสลิมทำหนังได้ที่นี่ค่ะ
http://ninamori.blogspot.com/2007/07/blog-post_03.html

หนังของ โมห์เซ่น ชวนให้นึกถึงเจ้าหน้าที่อนามัยในชนบทของชนบทอีกทีแถว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจเป็นเพราะงานของทั้งสองไม่ใช่เพียงให้เวลาเท่านั้น แต่ต้องมอบหัวใจด้วย เพื่อที่จะได้ดูแลและเข้าใจปัญหารายวันมากมายที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งเรื่องจุกจิกต่างๆ ของชาวบ้าน การให้ความสำคัญต่อรายละเอียดเล็กๆ น้อย ๆ จึงเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ชีวิตซึ่งกันและกัน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกคนมีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและแบ่งปันให้สังคมรอบข้าง
อย่างหนัง 2 เรื่องที่จะพูดถึงนี้ ที่ผสมชั้นเชิงฉลาดคิดและความเป็นธรรมชาติจนยากที่จะแยกออกว่าฉากไหนคือการแสดงกันแน่ เพราะมันไม่มีพรมแดนแยกระหว่างของจริงกับของปลอม

ฉากคัดเลือกรับสมัครตัวแสดงดูเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ แต่อยู่ๆ ผู้เขียนก็เกิดอาการคันมือคันเท้าเมื่อหญิงคนหนึ่งที่มาสมัคร เธอทำตัวน่าหงุดหงิดมาก จะเอาอย่างโน้นอย่างนี้ต่อรองผู้กำกับต่างๆ นาๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะแสดงได้หรือเปล่า บ้างก็กล้าเหลือเกินเถียง โมห์เซ่น แบบคำไม่ตกฟาก ไม่ก็อ้างว่าอุตส่าห์เดินทางมาไกล ฝันอยากเป็นดารามาตลอดชีวิต แต่พอบอกให้หัวเราะร้องไห้ก็เล่นตัวสารพัด
ส่วนบรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลายต่างงัดความสามารถออกมาเต็มที่ จะให้ทำอะไรเหรอขอให้บอกทำได้หมดจด ทั้งท่าหมอบลงพื้น หลบระเบิด หรือจะให้ยิ้มใสซื่อโชว์เสน่ห์แพรวพราวเห็นทุกห้องหัวใจก็ทำได้ เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก บางคนบอกอย่างไม่เขินอายว่าตัวเองเหมาะที่จะเล่นหนัง เพราะหล่อเหมือนอแลง เดอลอง บางคนก็แกล้งเป็นคนตาบอดเรียกร้องความสนใจเพื่อจะได้สิทธิพิเศษ
ซึ่งภาพทั้งหมดที่เห็นร่วมทั้งฉากการสัมภาษณ์ เราต่างไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าไหนฉากจริง ไหนคือการแสดง ก็ขนาดผู้สมัครเองที่ผ่านการคัดเลือกแล้วยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองได้เป็นนักแสดงแล้วจริงๆ หรือเปล่า ทั้งๆ ที่โมห์เซ่นตอบตกลงแล้ว
หนังจบพร้อมคำถามคาใจว่าตกลงทั้งหมดในหนังนี้มันของจริงหรือของปลอม ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความขยันของตากล้องที่เก็บรายละเอียดภาพเหล่านั้น แต่ถ้าทั้งหมดเป็นการแสดง ฮอลลีวู้ดก็ควรศึกษาการแสดงจากชาวบ้านกลุ่มนี้ หรือว่าจริงๆ แล้วมีเพียงโมห์เซ่นคนเดียวเท่านั้นที่เป็นนักแสดง โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าหนังได้เริ่มถ่ายไปแล้ว


และแล้วการเตรียมงานสร้างหนังก็ดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ขบขันตื่นเต้น พร้อมกับนำไปสู่บทสรุปที่ทุกฝ่ายซึ่งเคยร่วมในเหตุการณ์วันนั้นต่างลืมไม่ลง เพราะคนดูนั้นคงทั้งเอ็นดูและผูกพันกับเรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของพวกเขา แล้วจะคอยลุ้นว่าเรื่องจะลงเอยด้วยความรุนแรงแบบในชีวิตจริง หรือคลี่คลายเป็นหนังในรูปแบบใด
น่าทึ่งที่ว่าบทสรุปสุดระทึกนี้แฝงสัมผัสนุ่มนวลแนวแปลกแนบมาด้วย การเลือกจบหนังลงด้วยเครื่องหมายคำถามในวินาทีเป็นตายของการตัดสินใจเลือก คือ “เลือก” ที่จะให้อภัย หรือ “เลือก” ที่จะใช้ความรุนแรงนั้น อาจจะทำให้คำว่า “สมานฉันท์” แบบพูดแต่เพียงลมปากของหลายสถาบันต้องกลายเป็นเรื่องตลกไปในทันใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น