วันพุธที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Silkscreen at Jamjuree Art Gallery

by Ninamori




หลังจากประทับใจกับการเข้าร่วม Workshop - Printmaking (พิมพ์หรรษา) หรือ Woodcut ณ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเดือนกันยายน 2549 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าชีวิตของการเป็นนักเรียนมันช่างรื่นรมย์และสนุกสนานมาก พวกเราได้เรียนรู้เคล็ดลับมากมายในการสร้างงานที่เรียกว่า Woodcut และพวกเราก็ได้อาจารย์ สุรชัย เอกพลากร อาจารย์ผู้อารีย์มากฝีมือที่อารมณ์ดี และพร้อมเสมอที่จะตอบทุกคำถามของนักเรียนช่างสงสัยอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย รวมทั้งเหล่าน้องๆ ทีมงานที่เป็นกันเองและน่ารักที่สุด

ทำให้รู้ว่ากว่าจะได้ภาพพิมพ์จาก Woodcut นั้นมันไม่ง่ายเลย เพราะนอกจากต้องคิดแบบแล้ว เราก็ต้องวาดภาพลงไปบนแผ่นไม้อัด แล้วก็ต้องแกะลายที่วาดไว้ ต้องใจเย็นมากๆ เพราะถ้าพลาดนิดเดียวจบกัน เมื่อแกะลายได้แล้วก็จะนำมาลงสี แล้วนำเข้าแท่นพิมพ์อีกที




ส่วนล่าสุดเมื่อวันที่ 18, 25 สิงหาคม 2550 ได้เข้าร่วม Workshop อีกครั้ง มาคราวนี้เป็นกิจกรรม Workshop - Fun with Silkscreen “สกรีนหรรษา” โดยอาจารย์สุรชัยคนเดิมเป็นผู้สอน เราได้เรียนรู้ประสบการณ์อีกแบบที่ต่างจากคราวก่อน เจ้าหน้าที่เตรียมบล็อกไม้ที่มีกระดาษไขอยู่อีกด้านหนึ่งที่ขึงติดกับบล็อกให้ทุกคน คนละอัน ก่อนอื่นก็ต้องนำเทปกาวมาแปะรอบด้านเพื่อกั้นสีรั่ว


เอาล่ะจะออกหมู่หรือจ่าก็งานนี้แหละ บางคนกลั้นหายใจ บางคนจำใจต้องวางปีกไก่ทอดรสเด็ด (ที่นี่มีอาหารและเครื่องดื่มนานาชนิดบริการฟรี) แล้วทุกคนก็บรรจงวาดภาพลงบนกระดาษไขอย่างตั้งใจ เราสามารถกำหนดขอบเขตภาพที่ต้องการโดยใช้ดินสอไข เมื่อได้ภาพที่ต้องการก็ลงสี แล้วใช้ไม้ที่มีขนาดสั้นกว่าบล็อกเกลี่ยสีให้เท่ากันแล้วปาดลงบนภาพที่วางไว้ลงบนกระดาษหรือเสื้อยืดตามต้องการ แต่อย่าลืมเมื่อพิมพ์เสร็จต้องรีบไปล้างบล็อก ถ้าปล่อยไว้นานจะทำความสะอาดยากมาก


หมายเหตุ : ทั้งหมดนี้เป็นกิจกรรมที่เปิดสอนฟรี กิจกรรมจะมีเป็นระยะๆ อาจจะปีละครั้งหรือสองครั้ง สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ หอศิลป์จามจุรี โทร. 02-2183709 หรือ http://www.jamjureegallery.org/

วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

เรียนยาวีนอกปอเนาะ (2) ตอนอาหารอร้อยอร่อย

โดย Ninamori

หากคุณมีโอกาสแวะไปจังหวัดปัตตานี ยะลา หรือนราธิวาส ขอแนะนำให้ลองชิมอาหารท้องถิ่นของชาวมุสลิม ที่รับประกันความอร่อยถึงขั้นอร่อยมาก...
เชื่อหรือไม่ว่าเงิน 200 บาท คุณสามารถอยู่ที่นั่นกินอาหารอิ่มท้อง วันละ 3 มื้อ ได้ถึง 5 วันเลยนะ

เอะ ! แล้วอาหารที่ว่าเขาเรียกอะไรกันบ้างนะ ราคาเท่าไร อยากรู้จัง...


รอ เย๊าะ (ประกอบด้วยเส้นหมี่ลวก, กุ้งชุปแป้งทอด, ผักต่างๆ , ไข่ไก่ และน้ำจิ้มราดข้างบน - อร่อยมาก -ไม่เผ็ด) ราคา 12 บาท


ละ แซ (ประกอบด้วยเส้นก๋วยเตี๋ยวแบบหนานุ่ม, ผักต่างๆ และน้ำกะทิปลาเข้มข้น - อร่อยที่สุด) ราคา 12 บาท

นา ซิ กา บู (ข้าวยำ - ประกอบด้วย ข้าวหุงด้วยน้ำใบยอ, ผักต่างๆ และน้ำบูดู - บางเจ้าทำอร่อยสุดยอด ในช่วงถือศีลอด ยอดขายวันละ 10 กระสอบ)
ราคา 7 บาท


ปู โละ ยอ (ข้าวเหนียวมะพร้าว) + ปู โละ ซา มา (ข้าวเหนียว+กุ้งคั่วกะทิ) ราคาอย่างละ 5 บาท


นา ซิ ตี เนะ (ประกอบด้วย ข้าวหนานุ่มตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยม และปลาคั่วกะทิ) ราคา 5 บาท


ภาษาไทย = = = = = = = = > ภาษามลายู

อันนี้เรียกว่าอะไร = = = = = > เหาะ นิง ปา เง กา ป๊อ
อร่อย = = = = = = = = = > ซือ ดะ
ไม่อร่อย = = = = = = = = = > เดาะ ซือ ดะ
เท่าไร = = = = = = = = = > วา ป๊อ
กี่บาท = = = = = = = = = > วา ปอ โก๊ะ
1 บาท = = = = = = = = = > ซือ โก๊ะ
2 บาท = = = = = = = = = > ดู วอ โก๊ะ
3 บาท = = = = = = = = = > ตี กอ โก๊ะ
4 บาท = = = = = = = = = > ปะ โก๊ะ
5 บาท = = = = = = = = = > ลี มอ โก๊ะ
6 บาท = = = = = = = = = > แน โก๊ะ
7 บาท = = = = = = = = = > ตู โยะ โก๊ะ
8 บาท = = = = = = = = = > ลา แป โก๊ะ
9 บาท = = = = = = = = = > มี แล โก๊ะ
10 บาท = = = = = = = = = > ปู โละ โก๊ะ
11 บาท = = = = = = = = = > บือ ละ โก๊ะ
12 บาท = = = = = = = = = > ดู วอ บือ ละ โก๊ะ
13 บาท = = = = = = = = = > ตี กอ บือ ละ โก๊ะ
14 บาท = = = = = = = = = > ปะ บือ ละ โก๊ะ
15 บาท = = = = = = = = = > ลี มอ บือ ละ โก๊ะ
20 บาท = = = = = = = = = > ดู วอ ปู โละ
30 บาท = = = = = = = = = > ตี กอ ปู โละ

วันพฤหัสบดีที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

โลกหลากสีของมะณอย

หมายเหตุจาก Ninamori : บทความ โลกหลากสีของมะณอย ชิ้นนี้เป็นการบันทึกของ สุมณฑา สวนผลรัตน์ สาวมาดมั่นนิสัยดี เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงละครเวทีมืออาชีพที่ทุ่มเททั้งชีวิตและหัวใจให้กับการแสดงอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย มาเถอะไม่ว่าจะเป็นบทไหนเธอรับได้หมดและสามารถสะกดคนดูได้อยู่หมัด ทั้งบทฮา บทใบ้ บทที่ต้องเต้นพลิ้วไหว หรือบทซีเรียส เธอเคยทำให้ใครหลายคนร่วมทั้งฉันถึงกับตาโตอ้างปากค้างในบทต่างๆ ที่เธอเล่น อย่างล่าสุดคือ Vagina Monologues หน้าเวทีมีเธอและเก้าอี้ 1 ตัว แค่นั้นเอง แต่สิ่งที่เธอเล่า คำพูดที่ออกจากปากของเธอด้วยสีหน้าเขินอาย และเกรี้ยวกราดเมื่อมีสิ่งกระทบใจ ฟังน้ำเสียงเธอนุ่มนวล ระหว่างที่รู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับเธอ อยู่ๆ เธอก็ระเบิดอารมณ์อย่างไม่ปรานีถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเธอ ทั้งห้องเงียบกริบ

อ่านบทสัมภาษณ์ของเธอและเพื่อนๆ ได้ที่ http://www.onopen.com/2006/02/340

ละคร Vagina Monologues
http://www.onopen.com/2007/02/1921



โลกหลากสีของมะณอย
โดย สุมณฑา สวนผลรัตน์ Email : Sumontha55@hotmail.com





ช่วงเย็นย่ำของวันอาทิตย์ แถวจุฬาลงกรณ์ ฉันสุ่มเดินเข้าไปในหอศิลป์จามจุรี โดยที่ยังไม่รู้ว่า โปรแกรมงานในวันนี้จะมีอะไร เป็นงานของใคร งานศิลปะประเภทไหน หรือจะมีงานแสดงไหมก็ไม่รู้ แต่นั่นแหละมันเป็นกิจกรรมที่ฉันชอบทำอยู่บ่อยๆ ถ้าเกิดมีอันต้องผ่านมาแถวนี้ บางทีมันเหมือนกับการจับฉลากว่าวันนี้จะเจออะไร แต่บางทีก็เป็นการทำความรู้จักเพื่อนใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ตัวคน แต่เป็นการทำรู้จักผ่านชิ้นงานของเขา ผ่านสายตาที่มองโลกของเขา ที่อาจไม่เหมือนฉันเลย บางทีมันเหมือนเป็นที่หลบพักน่ะ เป็นช่องทางที่ใช้เดินเข้าไปสู่โลกของเจ้าของงานอย่างเงียบๆ และแสนจะเพลิดเพลิน

และวันนี้โลกใบเล็กที่อนุญาตให้ฉันเข้ามาเดินเที่ยวเล่น คือ “โลกหลากสีของมะณอย” ฉันรู้ว่ามะณอยยังเป็นเด็ก เพราะลายเส้นรูปวาดที่ไร้เดียงสาของเธอแนะนำตัวเองว่าอย่างนั้น หลังจากได้ดูภาพในโปสเตอร์สีสันฉูดฉาดบาดตา ฉันก้าวเดินต่อไปในห้อง เห็นมุมหนึ่งของห้องมีเสื่อปูและผู้หญิง2 คนนั่งอยู่ คนหนึ่งเป็นแม่ และอีกคนเป็นลูก ใช่แล้ว ! แม่ และมะณอย ฉันยืนอ่านโปส์เตอร์ที่แปะอยู่ด้านหลังเธอพอดี อ่านอยู่ซักพัก จนไม่รู้ว่ามะณอยเริ่มอึดอัดหรือเปล่า เพราะเธอเริ่มโยกตัว และส่งเสียงเล็กน้อย ทำให้ฉันต้องค่อยๆ เดินห่างออกมา


ความรู้ทั่วๆ ไปเกี่ยวกับตัวเธอคือ มะณอย มีชื่อจริงว่าเด็กหญิง พิชญา เลิศทรัพย์เจริญ แต่ มะณอยไม่ใช่เด็กหญิงธรรมดาๆ ค่ะ เธอเป็นเด็กพิเศษ ที่มีความพิเศษทั้งในแง่มีฝีไม้ลายมือในงานศิลปะจนเข้าขั้นมือรางวัล ที่เคยเดินทางไปคว้า Supreme Gold Award จากงานประกวดศิลปะเด็กนานาชาติ ครั้งที่ 36 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (The 36th International Children’s Art Exhibition) มาแล้ว ส่วนความพิเศษอีกแง่หนึ่งคือ มันเป็นคำจำกัดความทางการแพทย์ที่เรียกเธอว่าเด็กพิเศษ หรือ ออทิสติก สิ่งนี้เองที่เป็นจุดเชื่อมโยงให้ โครงการ การศึกษาพิเศษเพื่อพัฒนาความสามารถทางการเรียนรู้ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม กระโดดมาเป็นตัวตั้งตัวตีจัดงานศิลปะในครั้งนี้เพื่อเผยแพร่ความสามารถพิเศษของมะณอยให้คนทั่วไปได้รู้จัก นั่นเป็นข้อมูลคร่าวๆ ที่ฉันได้รู้เกี่ยวกับตัวเธอ

ฉันเดินต่อไปเพื่อดูรูปบนผนัง ภาพส่วนใหญ่ของมะณอยเป็นภาพผู้หญิง ในอริยาบทต่างๆ เช่นยืนยิ้ม ออกกำลัง เต้นเชียร์ลีดเดอร์ ร้องไห้ หรือทำงาน แต่ผู้หญิงแบบที่เห็นบ่อยที่สุด คือรูปนางพยาบาล

คุณครูบอกว่าตอนเด็กๆ มะณอยไปโรงพยาบาลบ่อย และไปหลายๆ ที่ จึงไม่น่าแปลกที่ โลกหลากสีของมะณอยจะมีนางพยาบาลซะมากมาย บางรูปนางพยาบาลยิ้ม บางรูปทำหน้าเฉยๆ บางรูปใส่เหล็กดัดฟัน บางรูปมีดอกไม้อยู่บนผม แต่ไม่ว่ารูปไหนๆ นางพยาบาลของมะณอยจะต้องมีแก้มกลมๆ และผมหนาๆ ยืนหน้ายิ้มบ้างหุบบ้างอยู่ในภาพสีสันสดใส สะดุดตา มะณอยคุยกับฉันผ่านภาพของเธอต่อว่าสิ่งที่มักเห็นเป็นประจำในโรงพยาบาล มีทั้งเรื่องราวของนางพยาบาลที่กำลังให้น้ำเกลือคนไข้ เรื่องของพี่ขาเจ็บที่ถือไม้ค้ำยันทั้ง 2 ข้าง หรือเรื่องแปลกๆ อย่างภาพพี่พยาบาลยืนอุ้มชายหนุ่มผูกไท โลกที่สดใสของมะณอยไม่ได้หยุดอยู่แค่ในโรงพยาบาล โลกของเธอค่อยๆ มีผู้คนต่างๆ เข้ามาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นภาพพี่ๆ นักศึกษาผู้หญิง ที่เธอเจอะเจอตอนเข้าโรงเรียน ภาพหางเครื่องเพลงลูกทุ่งในทีวีที่เธอโปรดปรานจนต้องเปิดทีวีรายการเพลงลูกทุ่งไว้เสมอตอนที่เธอวาดรูป


แม่ของมะณอย เล่าให้ฟังว่ามะณอยชอบวาดรูป และวาดได้ทุกที่ทุกเวลาที่เธอรู้สึกอยากวาด ทำให้ไปไหนมาไหนแม่ต้องพกสี และกระดาษไปด้วยเสมอ ภาพที่วาดถึงแม้จะวาดเสร็จแล้วในวันนี้ แต่เธอมักจะวาดภาพใหม่เติมลงไปในกระดาษแผ่นเดิม หรือบางทีก็ตัดภาพมาแปะเพิ่ม พอวาดเสร็จก็พับเก็บไว้ เพื่อวันใหม่จะได้เอาออกมาวาดอะไรใส่ลงไปอีก ดังนั้นภาพวาดของมะณอยจึงมีรอยยับเพราะมันมักเดินทางไปที่ต่างๆ กับเธอ เพื่อรอให้เจ้าของเติมสีแต้มสันที่สดสวยลงในกระดาษอยู่เรื่อยจนกว่าจะพอใจ

ระหว่างที่ฉันกำลังเพลินไปในโลกหลากสีของเธอ เด็กหญิงมะณอยตัวจริงก็กำลังวิ่งกระโดดไปมาอย่างร่าเริงในห้องแสดงงาน บางทีเธอวิ่งเข้ามากอดฉันถึงเธอจะไม่ได้พูดอะไรออกมาซักคำ แต่ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังมีความสุขที่เห็นคนก้าวมาเยี่ยมชมโลกของเธอ ครูบอกว่ามะณอยสื่อสารพูดเป็นประโยคไม่เก่ง แต่รูปวาดที่สื่อถึงโลกธรรมดาๆ ที่สดใสของเธอ ทำให้ฉันอยากบอกกับเธอบ้างว่า ถึงความเป็นออทิสติกจะทำให้เธอไม่สามารถพูดผ่านปากเป็นประโยคได้ถนัดถนี่ แต่เธอก็สามารถคุยกับฉันได้อย่างเสรีบนรูปวาด ขอบคุณที่แต้มโลกสีจางๆ ของฉันในเย็นวันนี้ให้กลายเป็นโลกหลากสีด้วยภาพของเธอ

วันศุกร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Childeater


Childeater
โดย Ninamori

หากฉันเป็นเด็กคนนั้นฉันคงกลัวจนตัวหด เพราะแค่ชื่อหนังก็ทำให้หัวใจเริ่มเต้นผิดจังหวะ ฉันจะเจาะรูเล็กๆ ที่ผนังด้านหน้าของบ้าน และจะอยู่ตรงนั้นคอยเฝ้ายามดูทุกคนที่ผ่านไปมา ฉันจะไม่นอนจนกว่าร่างกายทนไม่ไหว และฉันจะไม่ออกไปไหนจนกว่าจะแน่ใจว่าตำรวจจับตัวฆาตกรได้แล้ว

Childeater เป็นหนังสั้นยาว 11 นาที ปี 1989 กำกับโดย Jonathan Tammuz นำแสดงโดย Alun Armstrong, Lindsay Duncan และ Lucy Rivers วีดีโอเรื่องนี้ฉันได้อัดเทปไว้เมื่อคราวที่เคยฉายทางช่อง IBC

เด็กหญิงอายุ 10 ขวบถูกส่งตัวไปอยู่กับลุงและป้าที่ชนบท พวกผู้ใหญ่คงไม่อยากให้เธอร่วมเหตุการณ์นาทีระทึกในการให้กำเนิดทารกน้อยคนใหม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพราะเสียงกรีดร้องของแม่อาจทำให้เธอรู้สึกฝังใจไปตลอดชีวิตถึงความทุกข์ทรมานอย่างสาหัสของการมีลูก

“ลุงชอบกินเด็กเล็กนะ” พ่อเลี้ยงพูดก่อนส่งเธอขึ้นรถด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
เธอเอาหน้าแนบกระจกด้านหลังมองแม่ที่โบกมือลาด้วยความอาลัย
“หนูจะไม่ตั้งใจเป็นเด็กไม่ดี ขอให้แม่ปลอดภัย” เธอสวดมนต์ และพูดซ้ำไปมา
ความวิเวกวังเวงเข้ามาแทนที่ อากาศเย็นยะเยือกผิดปกติ
“ระวังลุงกินเด็ก” วิ่งพล่านอยู่ในหัวของเธอตลอดเส้นทาง

ที่บ้านลุงเธอเห็นกล่องเก่าๆ ใบหนึ่ง ของในนั้นทำให้เธอสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นผมเปียของเด็กผู้หญิง มีกระดาษแผ่นหนึ่งตัดจากหนังสือพิมพ์ มันพาดหัวว่าเด็กหาย ใจเธอสั่นระริกถึงชะตากรรมของเด็กคนนั้น

ตลอดเวลาที่อยู่ในชนบทเธอไม่เคยสร้างปัญหาให้หนักใจ ทุกๆ วัน เธอจะคอยแอบดูลุงอยู่ห่างๆ ไม่ให้คลาดสายตา เธอรู้สึกถึงพฤติกรรมแปลกๆ ของลุง ครั้งหนึ่งเธอถึงกับวิ่งหน้าตั้ง เมื่อลุงมองเธอด้วยสายตาดุดัน เป็นผลทำให้เธอพลาดและกลิ้งตกลงมาจากที่สูง แต่ก็อุตส่าห์พยุงตัวหนีไปได้

ทั้งบรรยากาศ รอยหยักบนใบหน้าของลุง ความเวิ้งว้างทั้งในบ้านนอกบ้านชวนให้เรารู้สึกกลัวร่วมไปกับเธอ ต้นไม้น้อยใหญ่ และเนินหญ้าที่สูงๆ ต่ำๆ ล้วนเป็นใจสร้างเกราะกำบังอย่างดีให้ฆาตกรหลบซ่อน

“ลุงกินเด็ก” ยังวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ

มันยุติธรรมดีแล้วหรือ ที่เด็กอย่างเธอต้องมาแบกภาระทางความรู้สึกที่หนักหน่วงเช่นนี้ ซ้ำเกิดในที่ๆ เธอไม่คุ้นเคย เธอจะหลับอย่างสนิทใจตอนกลางคืนได้อย่างไรในเมื่อคนกินเด็กก็นอนในบ้านเดียวกัน และในจิตนาการอย่างไร้ขีดจำกัดของเธอ มันไม่ใช่ความผิดของเธอแน่ๆ

เราอาจคุ้นชินกับการคิดแทนเด็ก เด็กจำนวนมากสามารถเรียนรู้ประสบการณ์ไปพร้อมๆ กับคำแนะนำจากผู้ใหญ่อย่างมีเหตุผล

บ่ายวันหนึ่งเธอถามป้าถึงปมปริศนาเกี่ยวกับเด็กที่หายไป แล้วป้าก็เล่าเรื่องในอดีตที่แสนเศร้าอันเจ็บปวดให้เธอฟัง .... มันเป็นความผิดฝังใจที่ไม่ว่าใครก็ยากจะทนได้ แต่พระเจ้าก็เลือกลุง... ฯลฯ

เมื่อกำแพงความเชื่อผิดๆ ถูกโค่นพังลงมา เธอรู้สึกสงสารลุงจับใจ และเป็นฝ่ายเข้าหาลุงชวนพูดคุย
ฉันรู้สึกเศร้าใจไม่น้อยตอนที่เธอพูดว่า เธอรู้สึกผิดที่ทำให้แม่ลำบาก เธอบอกว่าตอนที่แม่คลอดเธอนั้น เธอทำให้แม่เกือบตาย มาคราวนี้เธอเลยกลัวมากๆ ไม่อยากให้แม่ตายเพราะคลอดน้อง

ฉันเองก็ไม่เข้าใจพวกผู้ใหญ่บางคนเหมือนกันว่าทำไมชอบหลอกเด็กเป็นงานอดิเรก นับว่าเธอยังโชคดีที่สุดท้ายก็ได้คุยกับผู้ใหญ่ที่ดีอย่างลุง เธอส่งลูกอมให้ลุงพร้อมด้วยรอยยิ้มน่ารัก เขาหยิบของในถุงให้เธอ เธอยื่นหนังสือให้เขา ลุงอ่านหนังสือให้เธอฟัง ทั้งสองนั่งกินลูกอมที่อร่อยอย่างมีความสุข ภาพค่อยขยายๆ กว้างขึ้น เห็นเนินหุบเขาที่ถูกลูบไล้ด้วยรอยแดดละมุนที่ลอดผ่านสายหมอก สองลุงหลานนั่งคู่กันท่ามกลางธรรมชาติอันอบอุ่น

ฉันประทับใจกับมิตรภาพที่กำลังเบ่งบานเช่นนี้จังเลย มันเป็นความเรียบง่ายที่สามารถทำให้คนที่ตกอยู่ในความโศกเศร้ากลับมีชีวิตอีกครั้งด้วยมิตรภาพอันบริสุทธิ์และเสียงหัวเราะของเด็ก

วันจันทร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ปฏิบัติการหนังทุนน้อย


ปฏิบัติการหนังทุนน้อย : Low Budget Films in Combat
หรือเรียกเต็มๆ ว่า ฟิล์มไวรัส เล่ม 5 ปฏิบัติการหนังทุนน้อย ตำนานแห่งชัยชนะของหนังเล็กใจลุย

เขินจนหน้าแดงกว่าจะตัดสินใจเขียนโปรโมทหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากตัวเองมีส่วนร่วมในการจัดพิมพ์ แต่มานึกอีกทีได้ว่านี่คือพื้นที่ส่วนตัว ไม่เป็นไร เอ้า หน้าหนาหน่อย

เดิมทีบทความ ‘ปฏิบัติการหนังทุนน้อย’ เป็นชื่อคอลัมน์ที่ สนธยา ทรัพย์เย็น ตั้งขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน เพื่อทำเป็นคอลัมน์ประจำในนิตยสาร Filmview ของ บรรณาธิการ สุทธากร สันติธวัช

ยิ่งกว่า 108 พันเก้าเคล็ดลับฝันสู่ดวงดาวในการทำหนัง แม้จะมีเงินติดกระเป๋าไม่มาก คุณก็ทำหนังได้ เพราะผู้กำกับระดับโลกทั้ง 23 คน ในหนังสือเล่มนี้ เขาการันตีด้วยประสบการณ์โลดโผนแล้วว่ามันทำได้จริงจนคุณคาดไม่ถึง ขนาดบางคนลงทุนเพียงแค่แคะกระปุก แต่กลับประสบความสำเร็จทำรายได้มหาศาล อย่าง

โรเบิร์ต โรดิเกรซ (ผู้กำกับ Desperado, From Dusk Till Dawn, Sin City) เคยสนั่นวงการด้วยการทำหนังแอ็คชั่นเรื่อง El Mariachi ในราคาถูกที่สุดและโด่งดังที่สุดในอเมริกา

เควนติน ทาแรนทีโน่ (ผู้กำกับ Kill Bill, Pulp Fiction) สร้างความฮือฮากับการสลับเรื่องเล่าไปมาใน Reservoir Dogs และผู้กำกับอีกหลายคนอย่าง กิญแญร์โม่ เดล โตโร่ (Pan’s Labyrinth), ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า (The Godfather, Apocalypse Now), สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก, เดวิด ลิ้นช์ ฯลฯ ล้วนเริ่มต้นจากการทำหนังราคาประหยัดแทบทั้งสิ้น

หนังสือเล่มนี้จะเน้นโอกาสก้าวแรกในการเข้าสู่วงการ แนะแนวทางการพัฒนาบทหนัง การจุดประกายความคิดแปลกใหม่ และเส้นทางประสบการณ์ในการทำหนังทุนน้อย ที่กอบโกยความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงกลับมาได้มากกว่าเงินที่ลงทุนหลายเท่า

และเหล่าคนทำหนังทรหดอดทนบางคน ยังแนะนำทีเด็ดต่างๆ รวมทั้งกลยุทธ์การโกงทางธุรกิจ ที่จำเป็นสำหรับคนทำหนังทุกคนที่ต้องเรียนรู้ ทำอย่างไรให้รู้เท่าทัน และข้อควรระวังในการทำสัญญาเพื่อไม่ให้รายได้ภายหลังตกเป็นของนายทุนแต่เพียงผู้เดียว และอีกหลายเคล็ดลับสุดฮาที่คุณขำจนกลั้นหัวเราะไม่อยู่

และนี่คือรายชื่อผู้กำกับหน่วยกล้าตายที่ถ่ายทอดประสบการณ์อย่างเมามันส์ให้เราได้รับรู้
โรเจอร์ คอร์แมน, จอร์จ เอ. โรเมโร่, ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า, จิม แม็คไบร์ด, สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก, ริชาร์ด ลิ้งค์เลเตอร์, เฮิร์ค ฮาร์วี่ย์, เวย์น หวัง, นีล ลาบิวต์, เควนติน ทาแรนทีโน่, โรเบิร์ต โรดริเกซ, กิญแญร์โม่ เดล โตโร่, จอห์น เซลส์, โจนาธาน เด็มมี่, แอนน์ ฮุย, ทอม นูแนน, จอห์น แคสซาเวทส์, เฮนรี่ แจ็กกล็อม, ดีเรค จาร์แมน, เดวิด ลิ้นช์, แฮล แฮร์ทลี่ย์, จิม จาร์มุช และคริสโตเฟอร์ มึ้นช์

ไม่ว่าคุณอยู่ในข่ายอยากทำหนัง ชอบดูหนัง หรือเพิ่งสนใจดูหนัง หนังสือเล่มนี้คือเพื่อนแท้ที่พร้อมร่วมเดินทางไปกับคุณ และรับประกันว่าเล่มนี้อ่านสนุก เข้าใจง่าย

ปฏิบัติการหนังทุนน้อย
สำนักพิมพ์ ‘เอาตัวเป็นหนัง’ (ดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์)
พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2550
ราคา 210 บาท (304 หน้า ด้วยกระดาษถนอมสายตา)

มีจำหน่ายที่ร้านคิโนคูนิยะ (สาขาพารากอนและอีเซตัน), ดอกหญ้า สยาม ซ.3, บุ๊คเชสท์ สยาม ซ.2, ศูนย์หนังสือจุฬา, ศูนย์หนังสือธรรมศาสตร์, อ๊อด จตุจักร, ร้านหนังสือในเครือซีเอ็ด และร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ
หรือสั่งซื้อที่สายส่ง ดวงกมลสมัย โทร 02-541-7375-6 หรือ โทร 02-541-7377
หรือ dktoday@dktoday.net

จากดวงใจ... ดวงกมล


บันทึกความทรงจำโดย โมรีมาตย์ ระเด่นอาหมัด

เขาคือคนแรกที่สร้างความมั่นใจให้ฉันก้าวเดินไปข้างหน้า

คุณสุข สูงสว่างคือ ผู้ให้กำเนิดร้านหนังสือในเครือดวงกมล ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านหนังสือเก่าแก่ ขายหนังสือภาษาต่างประเทศที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไทย อีกทั้งเคยจัดพิมพ์นิตยสารวรรณกรรมระดับตำนานอย่าง โลกหนังสือและวรรณกรรมแปลคลาสสิกจำนวนมาก และเป็นผู้สร้างกระแสให้คนไทยรักการอ่านอย่างจริงจัง

บ้านนอกเข้ากรุง
บ่ายคล้อยปลายเดือนพฤษภาคม 2537 หน้าร้านหนังสือดวงกมล ซอยโรงหนังโอเอ
ชายสูงวัยสวมเสื้อคล้ายเจ็คเก็ตยี่ห้อ “ดวงกมล” เขาสะพายเป้ไว้บนหลัง
“มาหาใครครับ ? ” เขาถามฉัน
“มาสมัครงานค่ะ” ฉันตอบ แต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
เขาเรียกพนักงานคนหนึ่งออกมาและให้พาฉันไปเขียนใบสมัครที่ฝ่ายบุคคล
วันรุ่งขึ้นฉันถึงมารู้ว่าเขาคือ คุณสุข สูงสว่าง ประธานบริษัทในเครือ ดี.เค.บุ๊คเฮ้าส์ (D.K. Book House)
เขาเป็นนายใหญ่ ผู้ซึ่งอ่านหนังสือทุกประเภท และเกิดมามีชีวิตเพื่ออ่านหนังสือ และดื่มไวน์

สองสามวันต่อมาคุณสุขเรียกฉันไปที่ห้องทำงานชั้น 3
เขาหยิบโบชัวร์ใบหนึ่งสีเขียวอมฟ้าพิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตอย่างดีให้ฉันอ่าน
ใจฉันเต้นตุ๊บ...ๆ แรงและแรงขึ้นไม่เป็นจังหวะ ตัวหนังสือภาษาอังกฤษ ฉันพยายามอ่านช้าๆ ผิดๆ ถูกๆ ฉันรู้สึกดีขึ้นเมื่อเห็นรูปการ์ตูนน่ารัก เป็นรูปซูเปอร์แมนที่ใบหน้าคือคุณสุข บ่งบอกให้รู้ว่าเขาเป็นคนใจดี ในนั้นเขียนว่า “คุณสุข สูงสว่าง จะเปิดร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รวบรวมหนังสือทุกประเภทจากทั่วทุกมุมโลก บนเนื้อที่... (เท่าสนามฟุตบอล) จุดประสงค์เพื่อส่งเสริมให้คนไทยรักการอ่าน และต้องการลบคำครหาที่ชาวต่างชาติชอบมองเมืองไทยว่าเป็นเมืองโสเภณี โดยเปลี่ยนความคิดพวกเขาใหม่ให้เป็นเมืองหนังสือแทน

My Superman, Mr. Suk Soongswang
คำสอนของคุณสุขก้องอยู่ในหัว “ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน” ต่อให้จบแค่ ป.4 ก็สามารถทำงานใหญ่ได้ เพียงแต่ให้ทุกคนขยันทำงาน ซื่อสัตย์ อดทน มีความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนมนุษย์ เพราะความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์จะเป็นพื้นฐานที่สามารถทำงานใหญ่และให้ความสุขที่ยันยืนแก่ชีวิตได้

สำหรับฉันแล้ว ดวงกมลเป็นเหมือนบ้าน พวกเรามีคุณตาผู้อารี คือคุณสุข มีพ่อคนขยันที่ทุ่มเททั้งชีวิตอย่าง คุณธเรศ คีรี และคุณสมบูรณ์ สกุลสุทธวงศ์ และมีแม่ผู้เสียสละ และทำงานหนักอย่าง คุณมัลลิกา คีรี แม้ผู้บริหารทุกคนมีงานล้นมือ แต่พวกเขาก็มอบความรัก ความอบอุ่น อบรมสั่งสอนพวกเราเสมือนหนึ่งเป็นลูกหลานในครอบครัว


ย้ายบ้านไปซีคอนสแควร์
เดือนกันยายน 2537 บริษัท ดี.เค. บุ๊คเฮ้าส์ จำกัด ย้ายไปอยู่ชั้น 3 ทางทิศใต้ของ ศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ เป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา บนชั้นมีหนังสือมากกว่าล้านปก (แต่ละปกมีอย่างน้อย 5 เล่ม) ฉันกลายเป็นคนรวย (เพื่อน) ในทันที เพราะที่นี่มีพนักงานจำนวนกว่า 200 ชีวิต
พื้นที่ถูกจัดแบ่งเป็นส่วนๆ มีออฟฟิศ, หน้าร้าน, ครัวดวงกมล และห้องกิจกรรม ดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์ จัดฉายหนังหาดูยากจากนานาประเทศให้ชมฟรี


ฉันเห็นดาราครั้งแรกคนแล้วคนเล่าที่นี่ และมีทั้งดารา นักร้อง นักเขียน นักการเมือง และอีกหลายสาขาอาชีพ แวะเวียนมาหาขอพรจากคุณสุข อย่าง ต่อ – ต๋อง และอุดม แต้พานิช ...

ทุกๆ วันมีลูกค้าจำนวนมากมาอุดหนุนซื้อหนังสือให้ชื่นใจ เรามีพนักงาน 6 คน ประจำการที่แผนกแคชเชียร์ตรงด้านหน้าของร้าน ทุกคนล้วนบริการประทับใจด้วยรอยยิ้มสดใส แม้จะล่าช้าไปบ้างในวันเสาร์อาทิตย์ และวันหยุดพิเศษ เนื่องจากมีลูกค้าเข้าแถวซื้อหนังสือปริมาณมาก

หนังสือขายได้ – เจ้านายมีความสุข - พวกเราทุกคนก็มีความสุข

ฉันอยู่มุมหนึ่งในส่วนของออฟฟิศ กระดาษแฟกซ์ม้วนแล้วม้วนเล่าถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร สำนักพิมพ์ต่างๆ จากทั่วสารทิศต่างส่งแฟกซ์เสนอหนังสือทุกประเภท จดหมายหลายสิบฉบับมาถึงคุณสุขทุกวัน เอกสารจำนวนมากจำแทบไม่ไหวจนต้องแยกเป็นร้อยๆ แฟ้มเรียงตามตัวอักษร

ห้องประชุมถูกเปิดปิดตลอดเวลา มีรอยนิ้วมือจากตัวแทนสำนักพิมพ์ทั้งไทยและฝรั่ง

ห้องลับแล
คุณสุขมีโต๊ะทำงานทำด้วยไม้ใหญ่มาก ปูด้วยผ้าฝ้ายสีเปลือกไข่ไก่และปล่อยให้ชายผ้าคลุมยาวเกือบถึงพื้น บนโต๊ะเต็มไปด้วยต้นฉบับหนังสือทั้งภาษาไทยและอังกฤษ และเอกสารอื่นๆ ให้คุณสุขพิจารณา... ส่วนด้านข้างมีโต๊ะประชุมทำด้วยไม้เช่นกันแต่ใหญ่กว่าหลายเท่าวางติดกัน และอีกด้านเป็นชั้นหนังสือที่พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดวงกมล

ด้วยความที่คุณสุขเป็นคนง่ายๆ เขาจึงเนรมิตให้ภายใต้โต๊ะทำงานของเขาเป็นอีกโลกส่วนตัว สำหรับพักผ่อนยามเมื่อยล้าจากการทำงาน ข้างในมีเก้าอี้ที่พับได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น

สำหรับพนักงานดวงกมลแล้ว คุณสุขคือคนเจ้านายใหญ่ที่รวยล้นฟ้า เป็นคนดังเพราะเราเห็นคุณสุขในหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารเป็นประจำ แต่คุณสุขของพวกเราติดดิน เรียบง่าย ไม่ถือตัว ใจกว้างเท่ามหาสมุทร ชอบช่วยเหลือผู้คน และยิ้มทักทายพนักงานอย่างเป็นกันเอง

พวกเราหลายคนเคยนั่งรถมาทำงานพร้อมคุณสุข มันไม่ใช่รถเก๋งหรอกนะ แต่เป็นรถเมล์ คุณสุขเป็นคนที่ชอบนั่งรถเมล์มาก โดยเฉพาะรถเมล์เล็กสีเขียว 2 บาท 50

ฝันร้ายกลางเดือนหนาว
แม้ทุกอย่างจะไปได้สวย แต่เรื่องโชคชะตาไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้ ปี 2542 เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ ค่าของเงินต่างประเทศสูงมาก ร้านหนังสือดวงกมลได้รับผลกระทบโดยตรงเนื่องจากหนังสือส่วนใหญ่สั่งซื้อจากต่างประเทศและเป็นเครดิต ค่าของเงินที่เพิ่มขึ้นทำให้คุณสุขต้องเป็นหนี้เพิ่มอีกเท่าตัว ทุกอย่างหยุดชะงัก



ด้วยความที่คุณสุขเป็นคนรักภรรยามาก เมื่อเศรษฐกิจรุมเร้า แม้ว่าดวงกมลแต่ละสาขาจะแยกบริหารเด็ดขาด แต่คุณสุขก็ขอให้คุณธเรศ คีรี (ผู้จัดการ บริษัท ดวงกมลสมัย จำกัด) เป็นธุระส่งค่าเลี้ยงดูให้ภรรยาที่เมืองนอกแทน คุณธเรศรับปากอย่างไม่ลังเล แม้จำนวนแต่ละเดือนนับแสนบาทก็ตาม เขามุ่งมั่นทำให้คุณสุขผู้เป็นที่รักยิ่งจนถึงปัจจุบัน

ฉันนับถือคุณสุขเสมอ และชื่นชมลูกหลานของคุณสุขทุกคนอย่างสุดซึ้ง (คุณมัลลิกา คีรี, คุณธเรศ คีรี และคุณสมบูรณ์ สกุลสุทธวงศ์) แต่มันน่าแปลกที่ว่าสิ่งที่ฉันเห็นกับตามันช่างกลับตรงกันข้ามกับข่าวที่ออกไป เพราะนั่นคือเศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่คุณสุขเลือก และไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้ มันทำให้ฉันกลัวตัวหนังสือบนกระดาษ



ในภาวะที่เลวร้าย หรือแทบทุกครั้งที่คุณสุขมีปัญหา เพียงแค่คุณสุขยกโทรศัพท์ ลูกหลานของเขาจะรีบมาหาทันที ต่างเป็นกำลังใจที่ดีให้กันเสมอ พวกเขาทุกข์ใจมาก แต่เขายังยิ้มสู้ และพวกเขาก็ช่วยเหลือกันหมดใจ ต่างร่วมกันแก้ไขจนปัญหาคลี่คลาย และไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค์ใดๆ ทั้งสิ้น
ในช่วงที่พวกเขาอยู่ด้วยกันต่างมีใจที่เข้มแข็ง ปล่อยวาง และมีความสุขได้ในทุกสถานการณ์

อีกหนึ่งความประทับใจที่ฉันเห็นจนชินตาคือ การดูแลเอาใจใส่ของคุณมัลลิกาที่มีต่อคุณสุข ขนาดที่เธอมีงานล้นมือ แต่ทุกครั้งที่คุณสุขเข้ามาในออฟฟิศ เธอจะรีบจัดเตรียมอาหารเพื่อสุขภาพให้คุณสุขทานก่อนทำงานเสมอๆ

ความฝันของคุณสุข
คุณสุขคนนี้เป็นคนช่างฝันและไม่เคยอยู่นิ่ง เขามีความฝันมากมายที่อยากทำ เหล่านี้คือความฝันเพียงส่วนเสี้ยวของเขา
1. จัดพิมพ์งานของชาติ กอบจิตติ เสนอในต่างประเทศเพื่อให้นักเขียนไทยคนหนึ่งได้รับรางวัลโนเบล และหวังว่ากรุงเทพสามารถสร้าง เจมส์ จอยซ์ หรือ เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ คนที่สองได้
2. พิมพ์หนังสือที่ให้คนอ่านรู้จักภูมิหลังของประเทศต่างๆ ในอาเซียน เนื่องจากประเทศอาเซียนมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ เพราะไม่เข้าใจว่าวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ต้องนำเศรษฐกิจ
3. ทำหมู่บ้านนักเขียนนานาชาติ โดยจะขอร้องให้สถานทูตต่างๆ มาสร้างบ้านสักหลังสองหลัง แล้วใส่ชื่อของนักเขียนที่มีค่าที่สุด
4. และทำหนังสือ คู่มือเป็นนายกรัฐมนตรี คุณสุขตัดพ้อตัวเองว่าเป็นดอกทองในเมืองไทยที่ใครก็ตามมาเมืองไทยแล้วต้องมาหา แล้วก็ต้องมาบอกว่านายกฯ ยูไม่เก่ง

สัญญารัก
คุณสุขแต่งงานกับแหม่มเยอรมันชื่อ Kristin เธอเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก คุณสุขจะสั่งซื้อหนังสือพ็อตเก็ตบุ๊คจากต่างประเทศมาให้ภรรยาเป็นประจำ เมื่อหนังสือเต็มบ้านเลยเกิดไอเดียเปิดร้านหนังสือและขายหนังสือต่างประเทศเป็นเจ้าแรกของเมืองไทย โดยตั้งชื่อร้านว่า ‘ดวงกมล’ ซึ่งแปลว่า ‘จากดวงใจ’ และทั้งคู่มีพยานรักกำเนิดลูกสาวผู้น่ารักหนึ่งคนชื่อ Meilin

อาลัย แด่ คุณสุข
แม้คุณสุข สูงสว่าง จะจากพวกเราไปแล้ว แต่คุณงามความดีทุกอย่างที่คุณสุขได้มอบให้ พวกเราจะถือปฏิบัติด้วยความเคารพรัก และจะเป็นคนดีของสังคมตลอดไป

หมายเหตุ : ขอบคุณนิตยสาร ค.คน สำหรับภาพประกอบ (คุณสมบูรณ์, คุณธเรศ และคุณมัลลิกา)

วันจันทร์ที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Don Quixote @ ธรรมศาสตร์

by Ninamori

หัวใจเต้นตุ๊บ...ๆ เพราะเรือที่นั่งมาดันเจอคลื่นลูกใหญ่ แต่ฉันก็มาถึงงาน ดอนกิโฆเต้ จนได้



ใครๆ เขาว่ากันว่า (รวมทั้งนักเขียนรางวัลโนเบล 100 ชีวิต) ดอนกิโฆเต้ เป็นนวนิยายเรื่องแรกของโลก มีผู้อ่านมากที่สุดในโลก ดีที่สุดในโลก และแปลเป็นภาษาต่างๆ มากที่สุดในโลก

ฉันมาก่อนงานเปิดเล็กน้อย มีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ฉันยืนใกล้ๆ คุณป้าท่านหนึ่ง คุณป้ากำลังคุยกับเพื่อนด้วยความตื่นเต้น... เปล่านะ ! คุณป้าไม่ได้พูดถึง ดอนกิโฆเต้... แต่แกกำลังพูดถึงคนที่แกปลื้มเอามากๆ คือท่านชวน หลีกภัย ที่วันนี้มาเป็นประธานเปิดงาน ต้องขอบคุณท่านชวนและดอนกิโฆเต้นะที่ทำให้คนแก่มีความสุข เนี่ย ขนาดยังไม่ได้อ่านหนังสือนะ!

ในงาน นิทรรศการหนังสือ “ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน” มีจัดแสดงหนังสือหายากเรื่องดอนกิโฆเต้หลายภาษา หนังสือขนาดใหญ่ฉบับโบราณของแท้ภาษาฝรั่งเศสก็มา มีแม่พิมพ์ที่เป็นแท่งเหล็ก และของที่ระลึกต่างๆ ที่ชาวสเปนภูมิใจเสนอทั้งธนบัตร เหรียญทองคำ แสตมป์ และของชำร่วยที่ทำด้วยทองแดงซึ่งล้วนหาดูไม่ง่ายนัก


หนังสือ ดอนกิโฆเต้ หลายเล่มปกสวยน่าอ่าน รวมทั้งฉบับภาษาไทยของสำนักพิมพ์ผีเสื้อที่ปกทำด้วยผ้า แต่เล่มหนามาก จัดจำหน่ายโดย บริษัท ดวงกมลสมัย จำกัด แต่ของฉันเล่มเล็กนิดเดียว เป็นของสำนักพิมพ์เม็ดทราย พิมพ์เมื่อปี 2535 เล่มละ 18 บาท

แล้วคนแต่ง ดอนกิโฆเต้ เป็นใคร มาจากไหนกันนะ

มิเกล์ เด เซร์บันเตส คือคนเขียนเรื่อง ดอนกิโฆเต้ ประวัติของเขาทำให้ฉันน้ำตาซึม เพราะในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้นช่างตรงกันข้ามกับความดังของหนังสืออย่างสิ้นเชิง เพราะมันคือวิถีแห่งการต่อสู้กับความยากจน เขาอดมื้อกินมื้อ และมีหนี้สิน ซ้ำโชคร้ายบริสุทธิ์ ไม่มีใครทราบประวัติของเขาเลยในช่วง 20 ปีแรก รู้แต่เพียงว่าเขาเกิดที่เมือง Alcala de Henares ในปี 1547 เป็นลูกคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 6 คน พ่อชื่อ โรดริโก เด เซร์บันเตส เป็นศัลยแพทย์ที่มีฐานะยากจนและไม่มีชื่อเสียง นอกจากนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาได้เรียนหนังสือหรือเปล่า


ชีวิตเริ่มมีประวัติเมื่ออายุ 22
เขาเคยสมัครเป็นทหารประจำการในกองอาสาสมัครสเปน ถูกส่งตัวไปรบที่อิตาลีและได้รับบาดเจ็บถูกยิงทำให้มือข้างซ้ายพิการ เขาเคยถูกโจรสลัดจับเป็นเชลยและถูกขายเป็นทาสถึง 5 ปี เขาเคยเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร เขาเคยเป็นนักเขียนหนังสือละครประมาณ 20-30 เรื่อง ซึ่งทุกเรื่องล้วนล้มเหลวไม่เป็นท่า

เขาอยู่อย่างยากลำบากวันแล้ววันเล่า จนถูกจำคุกจากหนี้สินอีกครั้งถึง 3 เดือน เพราะไม่มีเงินมาไถ่ตัว แต่การติดคุกครั้งนี้มีข้อดีเหมือนกัน เพราะ ดอนกิโฆเต้ เกิดที่นั้นโดยเขาเป็นทั้งพ่อและแม่ของเด็ก

ดอนกิโฆเต้ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1605 หนังสือประสบผลสำเร็จอย่างล้นหลาม แต่เขาได้ค่าเรื่องเพียงน้อยนิด เพราะมีการลักลอบพิมพ์งานของเขาเป็นจำนวนมาก และในปีต่อมาเขาก็เสียชีวิต...
และนั่นคือประวัติเกี่ยวกับเขาโดยย่อ...



ดอนกิโฆเต้ ฯ ที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพ ฯ
งานครั้งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการร่วมมือระหว่าง สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นิตยสาร ค คน สำนักพิมพ์ผีเสื้อ และ ดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์ (ฟิล์มไวรัส)

นิยาย ดอนกิโฆเต้ ฉบับปกรูปโดมธรรมศาสตร์ ถูกจัดพิมพ์ขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อร่วมฉลองวาระสถาปนามหาวิทยาลัย และการเปิดสอนหลักสูตรภาษาสเปนเป็นครั้งแรกที่นี่

ระหว่างจัดงานมีการเสวนาจากผู้ชำนาญอย่าง อ.ทรงยศ แววหงษ์, คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี, อ.นุชธิดา ราศรีวิสุทธิ์, รศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, ดร.วัลยา วิวัฒน์ศร, ดร.ปณิธิ หุ่นแสวง ,คุณมกุฏ อรฤดี และทีมจากนิตยสาร ค.คน เวียง วชิระ บัวสนธ์, สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ และ อธิคม คุณาวุฒิ ร่วมเสวนาให้ความรู้

ตัวฉันเป็นตัวแทน ดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์ (ฟิล์มไวรัส) มีส่วนร่วมเป็นผู้จัดกับเขาด้วยในการหาหนังดอนกิโฆเต้ 3 เวอร์ชั่น มาฉายมี เรื่อง Don Quixote สู่ฝัน... อันยิ่งใหญ่ (พูดอังกฤษบรรยายไทย) กำกับโดย Peter Yates , เรื่อง Don Quixote กำกับโดย Orson Welles และ เรื่อง Lost in La Mancha กำกับและเขียนบทโดย Keith Fulton, Louis Pepe


หากท่านใดที่ผ่านแถว ธรรมศาสตร์- สนามหลวง อยากเชิญชวนให้มาดูงานนี้ อาจจะหลังทำธุระหรือก่อนไปก่อม็อบก็ไม่ว่ากัน งานมีทุกวันถึงวันที่ 20 ก.ค.50 ส่วนวันที่ 14 ก.ค. เวลา 13.30 น. มีเสวนา “นวนิยายดีที่สุดในโลก : ดีอย่างไร” และหลังการเสวนาฉายภาพยนตร์ ดอนกิโฆเต้ : สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ ของ Peter Yates


หมายเหตุ
http://dkfilmhouse.blogspot.com/2008/06/blog-post_17.html