วันพุธที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Audrey Hepburn เป็นเจ้าหญิงก็เกาขาได้ค่ะ !


by Ninamori



แตน แต๊น แต๋น แตน... เจ้าหญิงเสด็จแล้ว... ต่างตื่นเต้นดีใจที่จะได้เห็นเจ้าหญิงที่สง่างามอย่างใกล้ชิด เจ้าหญิงเสด็จในชุดกระโปรงพองยาวถึงพื้น เจ้าหญิงยิ้มทักทายทุกคนที่เข้าเฝ้าอย่างนุ่มนวลอ่อนหวานและเป็นกันเองท่ามกลางพิธีรีตอง(ที่น่าเบื่อ) ผู้ชายโค้งคำนับแล้วรายงานตัว ข้าพระพุทธเจ้า... ๆๆๆๆ ฯลฯ ผู้หญิงถอดสายบัว รายงานตัว หม่อมฉัน... ๆๆๆ ฯลฯ (ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น) เจ้าหญิงโค้งศีรษะเล็กน้อย ยื่นมือ แล้วพูดทักทายสั้นๆ ทันใดนั้นกล้องก็จับภาพไปที่เท้า (ใต้กระโปรงของเจ้าหญิง) ชะแว็บ ! ฉันเอ็นดูเมื่อเห็นเจ้าหญิงค่อยๆ ใช้ขาข้างหนึ่งเกาขาอีกข้างหนึ่งที่คันเป็นระยะๆ ไม่มีใครเห็นนอกจากฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น อุ๊ย ! เจ้าหญิงทำรองเท้าหลุดออกมานอกกระโปรงแล้ว...ทำงั๊ยดีล่ะนี่

นี่เป็นส่วนหนึ่งในหนัง Roman Holiday ที่ ออเดรย์ เฮพเบิร์น รับบทเป็นเจ้าหญิง เธอสามารถทำให้คนดูทั่วโลกเชื่ออย่างสนิทใจว่าเธอคือเจ้าหญิงจริงๆ ด้วยความบริสุทธิ์และบุคลิกที่สง่างาม แต่อีกด้านเธอคือเจ้าหญิงซนๆ คนหนึ่งที่ใฝ่หาเสรีภาพและชีวิตที่เรียบง่ายเหมือนคนธรรมดาทั่วไป

บทเจ้าหญิงในหนัง Roman Holiday ทำให้ ออเดรย์ เฮพเบิร์น สามารถคว้ารางวัลออสการ์ดารานำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมมากอดอย่างชุ่มช่ำใจ และหลังจากนั้นเธอก็เฉียดได้ออสการ์อีกหลายครั้งในหนังเรื่อง Sabrina (1954), The Nun’s Story (1961) และ Wait Until Dark (1967) และกลายเป็นนักแสดงหญิงเพียงคนเดียวที่สามารถครองความนิยมจากคนดูอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุด

ก่อนหน้านั้นฉันชอบ ศรีริต้า เจนเซ่น ฉันเคยเห็นเธอเดินแบบที่ซีคอนสแควร์ในระยะประชิดไม่ถึงเมตร เธอเป็นนางแบบเพียงคนเดียวที่หน้าตายิ้มแย้ม เธอสวยมาก สวยกว่าในทีวีหลายเท่า สวยแบบปากนิดจมูกหน่อย หลังจากวันนั้นเธอก็สิงสถิตในใจฉันตลอดมา



มาถึงตอนนี้ เมื่อได้รู้จักกับ ออเดรย์ เฮพเบิร์น (ในหนัง) เธอคืออีกคนที่ฉันชอบ และมีความสุขทุกครั้งที่ได้ดูหนังที่เธอเล่น เธอสามารถรักษาบุคลิกเด่นของตัวเองอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ในแบบฉบับกุลสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีกับลักษณะของสาวทอมบอย โดยมีองค์ประกอบต่างๆ คือทรงผมและเครื่องแต่งกาย

ออเดรย์ เฮพเบิร์น เกิดปี 1929 เป็นลูกครึ่งไอริชกับเนเธอร์แลนด์ เข้าสู่วงการนักแสดงตั้งแต่สมัยอยู่ในเนเธอร์แลนด์ หนังสั้นเรื่องแรกที่เธอเล่นคือ Netherlands in 7 Lessons (1948) หลังจากนั้นก็เล่นบทเล็กๆ หลายเรื่อง ส่วนหนังใหญ่เรื่องแรกของเธอคือ One Wild Oat (1951)





ฉันเฝ้าติดตาม ออเดรย์ เฮพเบิร์น มาพักหนึ่งแล้ว ตอนดูหนังเรื่อง Sabrina (1954) ที่เธอรับบทเป็นลูกสาวคนขับรถ เธอเป็นสาวน้อยช่างฝัน หญิงต่ำต้อยที่อยากมีอยากได้เหมือนคนอื่น (คนรวย) ซึ่งมีลักษณะของ “ขบถ” อยู่ในตัวเอง แต่แฝงอยู่ในความอ่อนหวานที่สดใส เธอหลงรักลูกเศรษฐีเจ้าของบ้านอย่างหัวปักหัวปำ (รักเขาฝ่ายเดียว) เพื่อไม่ให้ลูกสาวที่รักยิ่งตกอยู่ในโลกเพ้อฝัน พ่อของเธอจึงตัดสินใจส่งเธอไปสงบจิตสงบใจด้วยการเรียนทำอาหารที่ประเทศฝรั่งเศส

ที่ฝรั่งเศส นอกจากฝีมือปลายจวักที่ได้ มาถึงดินแดนเมืองแฟชั่นอันศิวิไลซ์ทั้งที เธอถือโอกาสปรับเปลี่ยนตัวเองยกเครื่องชุดใหญ่ใหม่หมดจด จากสาวซนๆ กลายเป็นหญิงสง่างาม ที่ไม่ว่าชายใดเห็นแล้วต้องตาค้าง


พอวันรุ่งขึ้นฉันกลับชอบหนัง Breakfast at Tiffany’s มากกว่า
เธอเล่นเป็นสาวบ้านนอกจนๆ ที่เปลี่ยนตัวเองเป็นสาวเปรี้ยวจี๊ดในนิวยอร์ก เธอเป็นโสเภณีที่มีเรด้าร์คอยจับผู้ชายรวยๆ ไม่ซ้ำหน้า แม้จะรู้ว่าเธอเป็นโสเภณี แต่เชื่อว่าไม่มีใครเกลียดเธอได้ลง เพราะเธอทั้งน่ารักและมีเสน่ห์มาก หนังแดกดันชาวอเมริกันที่วันๆ ชอบจัดงานปาร์ตี้ ฉันชอบเวลาที่เธอร้องเพลง Moon River มากๆ มันบอกตัวตนของเธอที่มีความผูกพันต่อบ้านเกิดได้เป็นอย่างดี มันช่างเพราะพริ้งและเศร้าแทบใจสลาย

เชื่อหรือไม่ว่าทันทีที่หนัง Breakfast at Tiffany’s ออกฉายทั้งเพลง ทรงผมและเสื้อผ้าทุกชุดที่เธอใส่กลายเป็นแฟชั่นฮิตไปทั่วโลก





ส่วนในหนังเรื่อง Paris When it Sizzles (1964) ซึ่งเป็นหนังแนวตลกโรแมนติก เธอรับบทเป็นเลขาหัวไว สามารถพิมพ์ดีดได้ฉับไวปานกามนิต และเก็บรายละเอียดทุกคำของเจ้านายนักเขียนบทหนัง (แสดงโดย วิลเลี่ยม โฮลเด้น) จากนักพิมพ์ดีดกลายเป็นผู้ช่วยคิดพล็อตหนัง ต่างปั่นงานแข่งกับเวลาเพื่อให้เสร็จทันส่งนายทุนภายใน 2 วัน พล็อตแล้วพล็อตเล่าพลัดเปลี่ยนไปอย่างสนุกสนานและตื่นเต้น ต่างถูกมนต์สะกดเข้าไปอยู่ในหนังที่ตัวเองสร้าง จนในที่สุดก็ได้บทเป็นที่พอใจ

หนังแดกดันกองเซ็นเซอร์นิดๆ ที่ฉากหนึ่ง วิลเลี่ยมบอกเลขาว่า “ อ้อ ! ให้ตัดฉากเลิฟซีนออก แม้ว่ามันจะเป็นแค่ฉากเลิฟซีนที่ไม่แรงนัก แต่อาจจะไม่ผ่านกองเซ็นเซอร์ได้” โอ้ ! นี่แสดงว่ากองเซ็นเซอร์ป่วนตั้งแต่สมัยโน้นแล้วเหรอนี่... โอ้ แม่เจ้า !



หรือบทตื่นเต้นปนตลกโรแมนติกก็มี ในหนัง Charade (1963) เธอรับบทเป็นภรรยาของอดีต จี.ไอ. ที่ทำงานในยุโรปซึ่งถูกฆ่าตาย ทำให้อีก 3 อดีต จี.ไอ ตามล่าเธอเพราะคิดว่ารู้ที่ซ่อนเงินจำนวนมหาศาลที่สามีของเธอขโมยไป

แม้เธอจะมีรูปร่างบอบบาง แต่ในหนังเรื่องนี้ขอยกนิ้วให้ เพราะเธอต้องวิ่ง และวิ่งๆๆๆๆ หนีคนร้ายอย่างไม่คิดชีวิตโดยที่ต้องสวมรองเท้าส้นสูงปลายแหลม ซึ่งการันตีความแข็งแกร่งของเธอได้เป็นอย่างดี

และเหมือนพบรักแรกเมื่อได้ดูหนังเพลงเรื่อง Funny Face (1957) ที่ออเดรย์ เฮพเบิร์น เล่นคู่กับซูเปอร์สตาร์เท้าไฟอย่าง เฟร็ด แอสแตร์ ที่เคยทำให้ฉันวิ่งวุ่นหาที่เรียนแท็ป ในหนังเธอเล่นเป็นหนอนหนังสือตัวเบ้อเร้อและเป็นพนักงานเพียงคนเดียวในร้าน

ส่วนเฟร็ด แอสแตร์ เล่นเป็นช่างภาพฝีมือเยี่ยมของนิตยสารแฟชั่นชั้นนำ แต่ต้องมาเบื่อซังกะตายกับนางแบบไร้ชีวิตที่ไม่ได้ดั่งใจที่บรรณาธิการจอมเผด็จการหามาให้

ในขณะที่เฟร็ดยังไม่ทันหายเซ็ง บรรณาธิการจอมเผด็จการก็เกิดขยะแขยงกับแนวเดิมๆ ของนิตยสาร อยากเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม จัดแจงสั่งงานคนโน้นคนนี้ ช่วงพริบตาเหล่าทีมงานพร้อมชุดอุปกรณ์ถ่ายแบบก็เริ่มออกเดินทางหาโลเกชั่น และมาลงเอยที่ร้านหนังสือที่ ออเดรย์ ทำงาน

ต้องเรียกว่า “บุกรุก” น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะไม่มีการขออนุญาตหรือขอความยินยอมใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขามาถึงก็คุ้ยเขี่ยหนังสือบนชั้นกระจุยกระจาย แล้วก็ถ่ายรูปๆ เขี่ยซ้ำแล้วก็ถ่ายรูปๆ โดยไม่แคร์เสียงร้องขอของสาวน้อยหน้าหวานของเรา เมื่อพวกเขาถ่ายภาพเป็นที่พอใจก็จากไป ปราศจากคำขอโทษหรือขอบคุณ

แต่น่าตลกที่ว่าสุดท้ายบรรณาธิการคนนี้ก็ต้องมาง้อเธอให้เป็นนางแบบ เพื่อโชว์ตัวคอลเลคชั่นใหม่ที่ฝรั่งเศสตามคำแนะนำของตากล้อง และเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอตกลงคือเพื่อจะได้ตามหานักปรัชญาคนโปรดของเธอที่ฝรั่งเศส


เล่นหนังกับราชานักเต้นแท็ปทั้งที ไม่มีเต้นคงหมดท่าซินะ
โอ้ ! ลัลล่า... ออเดรย์ใช้ความสามารถทางการเต้นรำได้สุดยอดมาก ๆ เธอผสมท่าเต้นแปลกๆ เข้าด้วยกันทั้ง แท็ป บัลเล่ต์ เบรกแดนซ์ ฮิปฮอป ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ฉันล่ะนี่ขำกลิ้งและขาเริ่มขยับไม่รู้ตัว

ไม่ใช่เพียงหนังแนวโรแมนติกเท่านั้นที่ ออเดรย์ เฮพเบิร์น ได้รับ หนังซีเรียสจริงจังเธอก็เล่นได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน อย่างในบทแม่ชีเรื่อง The Nun’s Story (1961) เธอใฝ่ฝันอยากอุทิศทั้งชีวิตและจิตใจเป็นแม่ชีเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากไร้ในคอนโก ซึ่งนอกจากความยากในการแสดงที่เธอต้องระวังคำพูด การวางตัวในแบบฉบับของแม่ชีแล้ว เธอยังต้องเผชิญกับความหนาวเหน็บของอุณหภูมิที่ติดลบหลายองศาตลอดการแสดงที่คอนแวนต์ ทันทีที่เสียงสเลทสั่งคัทในแต่ละซีน ออเดรย์ของเราตัวเขียวเลยแหละ ปากนี่สั่นยิกๆ แต่เธอก็ไม่เคยย่อท้อ ไม่เคยบ่น


ส่วนฉากที่ต้องแสดงในคอนโก อากาศที่นั่นเลวร้ายมากสำหรับเธอ มันร้อนถึง 58 องศา นับเป็นครั้งแรกในชีวิตการแสดงของเธอที่เรียกร้องสิทธิพิเศษ เธอบอกผู้อำนวยการสร้างให้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศในห้องพัก แต่แล้วจนแล้วจนรอดด้วยเหตุผลใดไม่ทราบเครื่องปรับอากาศที่ส่งไปไม่สามารถใช้งานได้

ฉันสงสารเธอจับใจ แต่เธอก็ยังยิ้มได้ ทำให้ฉันและทุกคนเชื่อว่าเธอคือแม่ชีคนนั้น เธอไม่แสดงออกให้เราเห็นแม้แต่น้อยว่าจริงๆ แล้วตอนเธอถ่ายฉากในคอนแวนต์นั้นเธอหนาวเกือบตาย หนังเรื่องนี้เธอได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมด้วยนะ

นี่แหละ คือ ออเดรย์ เฮพเบิร์น หญิงผู้สง่างามทั้งรูปร่างหน้าตา เธอเป็นคนเรียบง่าย กินง่าย ไม่เรื่องมาก และจัดเป็นดาราที่มีอัธยาศัยดีที่สุดคนหนึ่ง เธอเป็นขวัญใจของทุกคนในกองถ่าย และเป็นเจ้าหญิงของผู้ชมทั่วโลกตลอดกาล











๗ ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ได้ดูหนังของ ออเดรย์ เฮปเบิร์นไม่กี่เรื่องเองครับ ชอบเธอมากๆ ในบทหญิงสาวตาบอดสู้ดจรใน WAIT UNTIL DARK

บทมาเรียน ในROBIN AND MARIAN หนังรักของโรบินฮุ้ดวัยชรา ที่กินใจมากๆ

ninamori กล่าวว่า...

เหรอ ! อยากดู 2 เรื่องที่ว่าบ้างจัง ซื้อจากที่ไหนค่ะ ? ที่นี่หาไม่เจอแฮะ... ส่วนวันนี้ไปดู Audrey Tautou ที่สกาล่า เธอน่ารักมากๆ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

WAIT UNTIL DARK ผมมีวีดีโออยู่ครับ
เดี๋ยวจะหอบไปให้คราวหน้า

ส่วน ROBIN AND MARIAN ผมดูทางช่องเจ็ดครับ
SEAN CONNERY เป็นโรบินฮู้ดวัยชรา
เศร้าและซึ้งมาก

ninamori กล่าวว่า...

เกรงใจจัง แต่อยากดู อย่างงั๊ยก็ขอบคุณมากๆ ล่วงหน้านะคะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

พี่เซาะจ๋า นี่จอยนะจ๊ะ แวะมาดูแล้วนะ เขียนเก่งจังเลย แปะๆๆ บล็อกสวยมากๆ จ๊ะ โทษทีจอยยังไม่ได้อ่านบทความพี่อย่างละเอียดเพราะว่าวันนี้จัดกระเป๋าอยู่ค่ะ เดี๋ยวว่างๆ มาอ่านแล้วจะช่วยวิจารณ์นะจ๊ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

พี่เซาะจ๋า จอยอ่านบทความเสร็จแล้วล่ะ ถ้าหากพี่ชอบออเดรย์นะ ลองไปหาหนังสือประวัติเธอที่เอเชียบุ๊คดู เพิ่งออกเล่มใหม่ ใหญ่มาก (อาจต้องให้พี่สนช่วยยกให้ด้วยนะถ้าจะเปิดอ่านเพราะหนักมากๆ ด้วย) ในนั้นมีภาพส่วนตัวเธอก่อนเข้าวงการเยอะมาก แล้วก็มีพวกของที่ระลืกส่วนตัวน่ารักๆ เช่น ใบสูติบัตร สำเนาพาสปอร์ต หรือบัตรสมาชิกตอนเธอเป็นฑูตสันติภาพของยูนิเซฟด้วยนะ มีภาพเธอตอนแก่ๆ ด้วย เป็นคนแก่ที่ดูคิกขุทีเดียวเลยนะจ๊ะ

ขอเสริมนะคะจากความรู้ที่มีเกี่ยวกับคุณออเดรย์ จำได้เคยอ่านมาว่าชีวิตวัยเด็กเธอลำบากมากเพราะอยู่ในช่วงเกิดสงคราม บางวันกินขนมปังก้อนเดียวเอง ทำให้ร่างกายเธอถึงผอมเกร็นอย่างนี้ พอเธอได้มาแจ้งเกิดในวงการฮอลลีวู้ด ก็ถูกคนค่อนขอดมากเลยว่าหน้าอกหรือเอวก็ไม่มี เรียกว่าไม่มี sex appeal อย่างที่นางเอกฮอลลีวู้ดสมัยนั้นควรจะมีน่ะค่ะ แต่ปรากฏว่าเมื่อเธอได้มาสวมใส่ชุดราตรีสีดำของ Givenchy ในเรื่อง Breakfast at Tiffany's ก็ทำให้ค่านิยมแฟชั่นสมัยนั้นเปลี่ยนไปเลยนะคะ แล้วชุดที่เธอใส่ก็ถูกเรียกว่า 'Little Black Dress' หรือ LBD กลายเป็นชุดที่ผู้หญิงทุกคนจะต้องมีอยู่ในคลังเสื้อผ้าตัวเองบ้าง (แต่ของจอยอาจเป็น XL Black Dress นะคะ)

จอยเคยอ่านไดอารี่ของออเดรย์นะพี่ สมัยที่เค้าดังแล้วเค้าก็ยังเป็นคนถ่อมตัวมากทีเดียว เค้าเล่าให้ฟังว่าครั้งแรกที่นัดเจอกับแครี่ แกรนท์ เพื่อจะมาคุยกันว่าจะเล่นหนังเรื่อง Charade ร่วมกันไหม ออเดรย์ยอมรับว่าเธอประหม่ามากเลย จนขาสั่นเตะโต๊ะทำแก้วไวน์หกใส่สูทแครี่ แกรนท์ เธอเขียนในไดอารี่ว่าอยากจะเขกกระโหลกตัวเองมากที่ทำตัวเปิ่นเหวอไป และมั่นใจมากว่าแครี่ แกรนท์คงไม่อยากจะร่วมงานกับเด็กเซ่อๆ อย่างเธอแน่ แต่ปรากฎว่าแครี่ แกรนท์ก็ตอบตกลงในวันรุ่งขึ้นทันทีว่าอยากร่วมงานกับเธอเร็วๆ (ดี วันหลังจะลองทำบ้างเวลาไปสัมภาษณ์งาน แต่เค้าคงไล่จอยออกก่อนจะได้งานทำแน่)

อืม แต่จะว่าไปก็มีดาราอยู่คนนึงที่ไม่ชอบออเดรย์เหมือนกัน ก็ฮัมฟรีย์ โบการ์ทไง ตอนนั้นเค้าเล่นหนังเรื่อง Sabrina ด้วยกัน แต่ว่าโบการ์ทเค้าชอบว่าออเดรย์บ่อยๆ ว่า เบื่อจัง ต้องมาทำงานกับมือสมัครเล่นอย่างเธอ เล่นเอาออเดรย์เสียความรู้สึกไปเลย แต่ว่าจากหนังเรื่องนั้นเธอก็ได้ก่อสัมพันธ์รักฉ่ำหวานกับวิลเลียม โฮลเดนแทน (แต่ตอนหลังต้องเลิกกัน เพราะอะไรก็ลืมไปแล้วจ๊ะ)

เอ้อ นี่นะคะพี่เซาะ ต้องลองเสิร์ชในเน็ทหารูปของออเดรย์รูปหนึ่ง เป็นรูปเธออยู่บนจักรยานนะ กำลังทำหน้าหลงทางด้วย เธอไม่ได้แต่งหน้านะแล้วก็ดูเหมือนจะเป็นรูปแอบถ่าย แต่ว่าน่ารักชะมัดยาดเลย

ninamori กล่าวว่า...

และแล้วก็ติดต่อนู๋จอยได้ โล่งอกที่รู้ว่าน้องสาวคนนี้สบายดี อยู่ทางโน้นนน...แผ่นดินใหม่ อากาศก็ใหม่ อะไรๆ ก็ใหม่ พวกพี่ๆ ขอให้นู๋จอยอยู่อย่างมีความสุขนะ และขอให้ฝันที่อยากทำสมหวังนะจ๊ะ
........
สำหรับ ออเดรย์ แม้ว่าเธอจะประสบความสำเร็จอย่างมากในชีวิตการเป็นนักแสดง แต่ชีวิตจริงกลับตรงกันข้าม ในวัยเด็กเธอลำบากมากๆ นี่ขนาดแม่ของเธอมีเชื้อขุนนางเก่า แต่สงครามก็ทำให้ครอบครัวต้องสูญเสียทรัพย์สินหมดตัว และโชคร้ายซ้ำซากที่ชีวิตคู่ของเธอดันเหมือนพ่อแม่อีก แต่เธอไม่เคยยอมแพ้โชคชะตา