วันศุกร์ที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

พักรถ พักใจ ที่ Premium Outlet Cha-am

by Ninamori

แวะหน่อยนะ... อาคารสีส้ม ซ้ายมือเจ้าเก่า เลี้ยวรถเลยลูกพี่...

ขากลับจากหัวหิน เผลอแป๊ปเดียวก็มาถึง... พรีเมี่ยม เอาท์เล็ท แหล่งจำหน่ายสินค้าขายปลีกแบรนด์เนมทั้งไทยและเทศในราคาลดพิเศษ 30-75 %

ปกติเป็นคนที่ไม่ชอบช้อปปิ้ง แต่ก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้แวะมาที่นี่

เพราะชอบมาทานวาฟเฟิลส์ไอศกรีมมะม่วงที่เสิร์ฟมาพร้อมกับมะม่วงสุกรสหวานฉ่ำใจ หรือใครที่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ที่นี่ก็มีกาแฟสดบริการในราคาที่ไม่แพงอย่างที่คิด

นอกจากดีไซน์ที่ออกแบบอย่างทันสมัยทั้งอาคารร้านค้า, ศูนย์อาหาร, มุมนั่งเล่น หรือมุมกาแฟ แล้ว


อีกหนึ่งที่ชอบคือบรรยากาศรอบอาคารที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่ดูอบอุ่นและเย็นสบาย ว้า...คิดถึงสายลมใต้ต้นลีลาวดีจัง...

วันอังคารที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

เรียนยาวีนอกปอเนาะ (5) จอมวางแผน


คืนหนึ่ง ฮาฟีสไปบ้านโต๊ะนิ โต๊ะนิกำลังสอนเด็กอ่านอัลกุรอาน ฮาฟีสเดินไปข้างหลังโต๊ะนิ แล้วหยิบไม้เรียวข้างหลังโต๊ะนิไปซ่อนไว้ที่ใต้โต๊ะ จากนั้นก็บอกอาบ๊ะว่า

ฮาฟีส
– อาบ๊ะ อาเมะ ซูดู วี ฮาฟีส ซือตา ฮาฟีส เน๊าะ แจเบ๊าะ บือร๊ะ
(พ่อ เอาช้อนให้ฮาฟีสหน่อย ฮาฟีสจะเล่นตักข้าวสาร)

อาบ๊ะ
– เต๊าะเล๊ะ ลา ลามอ โต๊ะนิ กอแด ล่า)
(ไม่ได้น่ะ เดี๋ยวโดนยายตีนะ)

ฮาฟีส
– โต๊ะนิ เด๊าะ กอแด อาบ๊ะ กี อาเมะ ซูดู บางะ ล่า มาซอ อาดอ ซีกิ
(ยายไม่ตีหรอก พ่อไปเอาช้อนมาเร็วๆ เวลามีน้อยนะ)

อาบ๊ะ จึงต้องไปหยิบช้อนมาให้ฮาฟีส ฮาฟีสก็เล่นตักข้าวสารอย่างสนุกสนาน ซักพัก ยายหันมาเห็น...

โต๊ะนิ
– เฮ้ย ! ฮาฟีส ยาแง มาอัย บือร๊ะ ล่า ลามอ ตูเป๊าะ ฮาบิฮ์ แก๊ โต๊ะนิ กอแด ล่า
(เฮ้ย ! ฮาฟีส อย่าเล่นข้าวสารซิ เดี่ยวก็หกหมดหรอก นี่ นี่ เดี๋ยว ยายตีน่ะ)

ว่าพลาง มือก็ควานหาไม้เรียวข้างหลัง โอ๊ะ...โอ๋ อนิจจา ! ไม้เรียวกายสิทธิ์หายไปซะแล้ว


ภาษาไทย = = = = = => ภาษามลายู

ยาย = = = = = = = =>โต๊ะนิ
ช้อน = = = = = = = => ซูดู
ตัก = = = = = = = = > แจเบ๊าะ
ข้าวสาร = = = = = = => บือร๊ะ
ไม่ได้ = = = = = = = => เต๊าะเล๊ะ
ตี = = = = = = = = => กอแด
เอา = = = = = = = => อาเมะ
เร็ว = = = = = = = = > บางะ
เวลา = = = = = = = => มาซอ
มี = = = = = = = = => อาดอ
น้อย = = = = = = = => ซีกิ
อย่า = = = = = = = => ยาแง
หก = = = = = = = = > ตูเป๊าะ
หมด = = = = = = = =>ฮาบิฮ์

วันจันทร์ที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

เรียนยาวีนอกปอเนาะ (4) อยู่เวรยาม

กิจวัตรประจำวันของฮาฟีส เมื่อลืมตาขึ้นในตอนเช้าคือ
ฮาฟีส
- อูมี ฮารีนิง กอเลาะห์ บูกอ ก้อ กาโต๊ะ ?
(แม่ วันนี้ โรงเรียนเปิด หรือ โรงเรียนปิด ?)

อูมี
- ฮารีนิง กอเลาะห์ บูกอ
(วันนี้ โรงเรียนเปิดจ๊ะ)

ฮาฟีส
– ฮือ ฮือ ! บ๊ะปอ กอเลาะห์ บูกอ ? ฮือ...
(ฮือ ฮือ ! ทำไมโรงเรียนต้องเปิดด้วยล่ะ ? ฮือ...)

อูมี
– กอเลาะห์ บูกอ ล๊า ซืบะ ฮารีนิง วันจันทร์ สีเหลือง
(โรงเรียนต้องเปิดซิ เพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ สีเหลือง ไงล่ะ)

ฮาฟีส จะแสดงอาการกระฟัดกระเฟียด ฟาดแขนฟาดขาอย่างไม่สงบ
อารมณ์โก๋อย่างแรง และจะตั้งคำถามทำนองนี้ทุกวัน จนถึงเช้าวันเสาร์

ฮาฟีส
– อูมี ฮารีนิง กอเลาะห์ บูกอ ก้อ กาโต๊ะ ?
(แม่ วันนี้ โรงเรียนเปิด หรือ โรงเรียนปิด ?)

อูมี
– ฮารีนิง วันเสาร์ สีม่วง กอเลาะห์ กาโต๊ะ
(วันนี้ วันเสาร์ สีม่วง โรงเรียนปิดจ๊ะ)

ฮาฟีส นอนอมยิ้มหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ซักพักก็จะถามต่อ


ฮาฟีส – อูมี ฮาฟีส เน๊าะกี กอเลาะห์
(แม่ ฮาฟีส จะไปโรงเรียน)

อูมี
– กี บะปอ กอเลาะห์ กาโต๊ะ ดี กอเลาะห์ ตะเด๊าะ ออแร
(ไปทำไมล่ะ โรงเรียนปิดน่ะ ที่โรงเรียนไม่มีใครหรอก)

ฮาฟีส
– บือลาล่ะ ! ฮาฟีส เน๊าะ กี โด๊ะ เวง
(ไม่เป็นไรหรอก ! ฮาฟีส จะไปอยู่เวรยาม)

ว่าเสร็จ จอมเจ้าเล่ห์ก็หันไปนอนกอดหมอนข้าง นอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข

หมายเหตุ : มีบางคืนที่อาบ๊ะ ต้องไปอยู่เวรยามที่โรงเรียน ก็จะหอบผ้าห่ม ผ้านวมไปนอนที่โรงเรียนเลย แล้วจะกลับมาเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งฮาฟีสจะขอตามไปด้วย ก็ต้องอธิบายว่าไปด้วยไม่ได้ เพราะอาบ๊ะต้องไปนอนที่โรงเรียนเพื่ออยู่เวรยาม เด็กๆ ไปไม่ได้หรอก

ภาษาไทย = = = = = = = = > ภาษามลายู

วันนี้ = = = = = = = = = => ฮารีนิง
กอเลาะห์ = = = = = = = = => โรงเรียน
บูกอ = = = = = = = = = => เปิด
กาโต๊ะ = = = = = = = = => ปิด
ทำไม = = = = = = = = => บ๊ะปอ
จะไป = = = = = = = = => เน๊าะกี
ไม่มี = = = = = = = = = > ตะเด๊าะ
คน = = = = = = = = = => ออแร
ไม่เป็นไรหรอก = = = = = = > บือลาล่ะ
จะไป = = = = = = = = = > เน๊าะกี
อยู่เวร = = = = = = = = = > โด๊ะ เวง
พ่อ = = = = = = = = = > อาบ๊ะ หรือจะเรียก อาเย๊าะ, แว, เป๊าะ ก็ได้
แม่ = = = = = = = = = > มี่, หรือจะเรียก อูมี, เจะ, เม๊าะ ก็ได้

วันอังคารที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

เรียนยาวีนอกปอเนาะ (3) วันกียามัต (วันสิ้นโลก)



หมายเหตุจาก Ninamori : เรียนยาวีนอกปอเนาะ ตั้งแต่ตอน 3 เป็นต้นไป เป็นเรื่องขำๆ เกี่ยวกับเด็กชายฮาฟีส อายุ 4 ขวบ เด็กเจ้าเล่ห์จอมทะเล้น ผู้ร่ำรวยคำถามและรอยยิ้ม นอกจากเป็นเด็กที่มีวีรกรรมแสบๆ คันๆ ที่ฟังแล้วขำกลิ้ง ฮาฟีสยังรับหน้าที่เป็นปฏิคมของบ้านคอยต้อนรับแขกผู้มาเยือนได้อย่างดีถึงขั้น 4 ดาวเลย....

อ้าว ! อาฟีสวิ่งหน้าตั้งทำไม มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ...

ค่ำวันหนึ่ง อาบ๊ะพาฮาฟีสไปกินแฮมเบอร์เกอร์ที่ใกล้สะพาน ขณะที่กำลังกินเพลินๆ นั้น ไฟก็ดับ ทำให้มืดหมดทั้งบริเวณ ฮาฟีสรีบบอกอาบ๊ะทันที

ฮาฟีส - อาบ๊ะ กือเละ ดูเม๊าะ บางะ เนาะแกมะ เด๊าะ ฆือละๆ แบ๊ะนิง ตาฆี ปอฮงกายู บาเละ บอมิง ฆือเร๊าะ ฮูแยลือบะ เนาะแกมะ เด๊าะ กี กือเละ บางะๆ ล่า
(พ่อกลับบ้านเร็วๆ จะกียามัตแล้ว (วันสิ้นโลก) มืดๆ แบบนี้ เดี๋ยวต้นไม้ล้ม
แผ่นดินไหว ฝนตกหนัก จะกียามัตแล้ว รีบกลับบ้านเร็วๆ เถอะ)

อาบ๊ะจึงบอกคนขายให้ช่วยห่อแฮมเบอร์เกอร์ที่เหลือให้ด้วย

อาฟีส – อาแบ บูกุฮ บางะล่า ฮาฟีส เน๊าะ กือเละ มาแก ดูเม๊าะ ตาฆี บอมิง ฆือเราะ ปอฮงกายู บาเละ ฮูแย ลือบะ เน๊าะ แกมะ เด๊าะ
(พี่ๆ ห่อให้เร็วๆ หน่อย ฮาฟีสจะกลับไปกินที่บ้าน เดี๋ยวแผ่นดินไหว
ต้นไม้ล้ม ฝนตกหนัก จะกียามัตแล้วล่ะ)

คนขาย
– อาเด๊ะ ยาแง แกมะ ลาฆีล่า อาแบ ยูวา รอตี เด๊าะ ฮาบีฮ ลากี
(น้อง อย่าเพิ่งกียามัตเลย พี่ยังขายโรตีไม่หมดเลย)

พอกลับมาถึงบ้าน ฮาฟีสวิ่งหน้าตาตื่น รีบเล่าใหญ่เลย

ฮาฟีส – มี่ มี่ สะนิง อาปี ปาแด ฆือล่ะ ฮาบิฮ เน๊าะ แกมะ เด๊าะ
มูโย ฮาฟีส กือเละ ดูเม๊าะ ดูลู่ เด๊าะฆีตู แกมะ ล่า
(แม่ แม่ เมื่อกี้ไฟดับ มืดหมดเลย จะกียามัตแล้ว
ดีนะที่ฮาฟีสรีบกลับบ้านก่อน ไม่งั้นละก้อ กียามัตแน่เลย)

หมายเหตุ : ที่บ้านไฟสว่าง จึงยังไม่กียามัต


ภาษาไทย = = = = = = = = = > ภาษามลายู
พ่อ = = = = = = = = = > อาบ๊ะ หรือจะเรียก อาเย๊าะ, แว, เป๊าะ ก็ได้
แม่ = = = = = = = = = > มี่, หรือจะเรียก อูมี่, เจะ, เม๊าะ ก็ได้
พี่ชาย = = = = = = = = = > อาแบ
น้อง = = = = = = = = = > อาเด๊ะ (ใช้ได้ทั้งกับผู้หญิงหรือผู้ชาย)

วันพุธที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Audrey Hepburn เป็นเจ้าหญิงก็เกาขาได้ค่ะ !


by Ninamori



แตน แต๊น แต๋น แตน... เจ้าหญิงเสด็จแล้ว... ต่างตื่นเต้นดีใจที่จะได้เห็นเจ้าหญิงที่สง่างามอย่างใกล้ชิด เจ้าหญิงเสด็จในชุดกระโปรงพองยาวถึงพื้น เจ้าหญิงยิ้มทักทายทุกคนที่เข้าเฝ้าอย่างนุ่มนวลอ่อนหวานและเป็นกันเองท่ามกลางพิธีรีตอง(ที่น่าเบื่อ) ผู้ชายโค้งคำนับแล้วรายงานตัว ข้าพระพุทธเจ้า... ๆๆๆๆ ฯลฯ ผู้หญิงถอดสายบัว รายงานตัว หม่อมฉัน... ๆๆๆ ฯลฯ (ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น) เจ้าหญิงโค้งศีรษะเล็กน้อย ยื่นมือ แล้วพูดทักทายสั้นๆ ทันใดนั้นกล้องก็จับภาพไปที่เท้า (ใต้กระโปรงของเจ้าหญิง) ชะแว็บ ! ฉันเอ็นดูเมื่อเห็นเจ้าหญิงค่อยๆ ใช้ขาข้างหนึ่งเกาขาอีกข้างหนึ่งที่คันเป็นระยะๆ ไม่มีใครเห็นนอกจากฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น อุ๊ย ! เจ้าหญิงทำรองเท้าหลุดออกมานอกกระโปรงแล้ว...ทำงั๊ยดีล่ะนี่

นี่เป็นส่วนหนึ่งในหนัง Roman Holiday ที่ ออเดรย์ เฮพเบิร์น รับบทเป็นเจ้าหญิง เธอสามารถทำให้คนดูทั่วโลกเชื่ออย่างสนิทใจว่าเธอคือเจ้าหญิงจริงๆ ด้วยความบริสุทธิ์และบุคลิกที่สง่างาม แต่อีกด้านเธอคือเจ้าหญิงซนๆ คนหนึ่งที่ใฝ่หาเสรีภาพและชีวิตที่เรียบง่ายเหมือนคนธรรมดาทั่วไป

บทเจ้าหญิงในหนัง Roman Holiday ทำให้ ออเดรย์ เฮพเบิร์น สามารถคว้ารางวัลออสการ์ดารานำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมมากอดอย่างชุ่มช่ำใจ และหลังจากนั้นเธอก็เฉียดได้ออสการ์อีกหลายครั้งในหนังเรื่อง Sabrina (1954), The Nun’s Story (1961) และ Wait Until Dark (1967) และกลายเป็นนักแสดงหญิงเพียงคนเดียวที่สามารถครองความนิยมจากคนดูอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุด

ก่อนหน้านั้นฉันชอบ ศรีริต้า เจนเซ่น ฉันเคยเห็นเธอเดินแบบที่ซีคอนสแควร์ในระยะประชิดไม่ถึงเมตร เธอเป็นนางแบบเพียงคนเดียวที่หน้าตายิ้มแย้ม เธอสวยมาก สวยกว่าในทีวีหลายเท่า สวยแบบปากนิดจมูกหน่อย หลังจากวันนั้นเธอก็สิงสถิตในใจฉันตลอดมา



มาถึงตอนนี้ เมื่อได้รู้จักกับ ออเดรย์ เฮพเบิร์น (ในหนัง) เธอคืออีกคนที่ฉันชอบ และมีความสุขทุกครั้งที่ได้ดูหนังที่เธอเล่น เธอสามารถรักษาบุคลิกเด่นของตัวเองอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ในแบบฉบับกุลสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีกับลักษณะของสาวทอมบอย โดยมีองค์ประกอบต่างๆ คือทรงผมและเครื่องแต่งกาย

ออเดรย์ เฮพเบิร์น เกิดปี 1929 เป็นลูกครึ่งไอริชกับเนเธอร์แลนด์ เข้าสู่วงการนักแสดงตั้งแต่สมัยอยู่ในเนเธอร์แลนด์ หนังสั้นเรื่องแรกที่เธอเล่นคือ Netherlands in 7 Lessons (1948) หลังจากนั้นก็เล่นบทเล็กๆ หลายเรื่อง ส่วนหนังใหญ่เรื่องแรกของเธอคือ One Wild Oat (1951)





ฉันเฝ้าติดตาม ออเดรย์ เฮพเบิร์น มาพักหนึ่งแล้ว ตอนดูหนังเรื่อง Sabrina (1954) ที่เธอรับบทเป็นลูกสาวคนขับรถ เธอเป็นสาวน้อยช่างฝัน หญิงต่ำต้อยที่อยากมีอยากได้เหมือนคนอื่น (คนรวย) ซึ่งมีลักษณะของ “ขบถ” อยู่ในตัวเอง แต่แฝงอยู่ในความอ่อนหวานที่สดใส เธอหลงรักลูกเศรษฐีเจ้าของบ้านอย่างหัวปักหัวปำ (รักเขาฝ่ายเดียว) เพื่อไม่ให้ลูกสาวที่รักยิ่งตกอยู่ในโลกเพ้อฝัน พ่อของเธอจึงตัดสินใจส่งเธอไปสงบจิตสงบใจด้วยการเรียนทำอาหารที่ประเทศฝรั่งเศส

ที่ฝรั่งเศส นอกจากฝีมือปลายจวักที่ได้ มาถึงดินแดนเมืองแฟชั่นอันศิวิไลซ์ทั้งที เธอถือโอกาสปรับเปลี่ยนตัวเองยกเครื่องชุดใหญ่ใหม่หมดจด จากสาวซนๆ กลายเป็นหญิงสง่างาม ที่ไม่ว่าชายใดเห็นแล้วต้องตาค้าง


พอวันรุ่งขึ้นฉันกลับชอบหนัง Breakfast at Tiffany’s มากกว่า
เธอเล่นเป็นสาวบ้านนอกจนๆ ที่เปลี่ยนตัวเองเป็นสาวเปรี้ยวจี๊ดในนิวยอร์ก เธอเป็นโสเภณีที่มีเรด้าร์คอยจับผู้ชายรวยๆ ไม่ซ้ำหน้า แม้จะรู้ว่าเธอเป็นโสเภณี แต่เชื่อว่าไม่มีใครเกลียดเธอได้ลง เพราะเธอทั้งน่ารักและมีเสน่ห์มาก หนังแดกดันชาวอเมริกันที่วันๆ ชอบจัดงานปาร์ตี้ ฉันชอบเวลาที่เธอร้องเพลง Moon River มากๆ มันบอกตัวตนของเธอที่มีความผูกพันต่อบ้านเกิดได้เป็นอย่างดี มันช่างเพราะพริ้งและเศร้าแทบใจสลาย

เชื่อหรือไม่ว่าทันทีที่หนัง Breakfast at Tiffany’s ออกฉายทั้งเพลง ทรงผมและเสื้อผ้าทุกชุดที่เธอใส่กลายเป็นแฟชั่นฮิตไปทั่วโลก





ส่วนในหนังเรื่อง Paris When it Sizzles (1964) ซึ่งเป็นหนังแนวตลกโรแมนติก เธอรับบทเป็นเลขาหัวไว สามารถพิมพ์ดีดได้ฉับไวปานกามนิต และเก็บรายละเอียดทุกคำของเจ้านายนักเขียนบทหนัง (แสดงโดย วิลเลี่ยม โฮลเด้น) จากนักพิมพ์ดีดกลายเป็นผู้ช่วยคิดพล็อตหนัง ต่างปั่นงานแข่งกับเวลาเพื่อให้เสร็จทันส่งนายทุนภายใน 2 วัน พล็อตแล้วพล็อตเล่าพลัดเปลี่ยนไปอย่างสนุกสนานและตื่นเต้น ต่างถูกมนต์สะกดเข้าไปอยู่ในหนังที่ตัวเองสร้าง จนในที่สุดก็ได้บทเป็นที่พอใจ

หนังแดกดันกองเซ็นเซอร์นิดๆ ที่ฉากหนึ่ง วิลเลี่ยมบอกเลขาว่า “ อ้อ ! ให้ตัดฉากเลิฟซีนออก แม้ว่ามันจะเป็นแค่ฉากเลิฟซีนที่ไม่แรงนัก แต่อาจจะไม่ผ่านกองเซ็นเซอร์ได้” โอ้ ! นี่แสดงว่ากองเซ็นเซอร์ป่วนตั้งแต่สมัยโน้นแล้วเหรอนี่... โอ้ แม่เจ้า !



หรือบทตื่นเต้นปนตลกโรแมนติกก็มี ในหนัง Charade (1963) เธอรับบทเป็นภรรยาของอดีต จี.ไอ. ที่ทำงานในยุโรปซึ่งถูกฆ่าตาย ทำให้อีก 3 อดีต จี.ไอ ตามล่าเธอเพราะคิดว่ารู้ที่ซ่อนเงินจำนวนมหาศาลที่สามีของเธอขโมยไป

แม้เธอจะมีรูปร่างบอบบาง แต่ในหนังเรื่องนี้ขอยกนิ้วให้ เพราะเธอต้องวิ่ง และวิ่งๆๆๆๆ หนีคนร้ายอย่างไม่คิดชีวิตโดยที่ต้องสวมรองเท้าส้นสูงปลายแหลม ซึ่งการันตีความแข็งแกร่งของเธอได้เป็นอย่างดี

และเหมือนพบรักแรกเมื่อได้ดูหนังเพลงเรื่อง Funny Face (1957) ที่ออเดรย์ เฮพเบิร์น เล่นคู่กับซูเปอร์สตาร์เท้าไฟอย่าง เฟร็ด แอสแตร์ ที่เคยทำให้ฉันวิ่งวุ่นหาที่เรียนแท็ป ในหนังเธอเล่นเป็นหนอนหนังสือตัวเบ้อเร้อและเป็นพนักงานเพียงคนเดียวในร้าน

ส่วนเฟร็ด แอสแตร์ เล่นเป็นช่างภาพฝีมือเยี่ยมของนิตยสารแฟชั่นชั้นนำ แต่ต้องมาเบื่อซังกะตายกับนางแบบไร้ชีวิตที่ไม่ได้ดั่งใจที่บรรณาธิการจอมเผด็จการหามาให้

ในขณะที่เฟร็ดยังไม่ทันหายเซ็ง บรรณาธิการจอมเผด็จการก็เกิดขยะแขยงกับแนวเดิมๆ ของนิตยสาร อยากเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม จัดแจงสั่งงานคนโน้นคนนี้ ช่วงพริบตาเหล่าทีมงานพร้อมชุดอุปกรณ์ถ่ายแบบก็เริ่มออกเดินทางหาโลเกชั่น และมาลงเอยที่ร้านหนังสือที่ ออเดรย์ ทำงาน

ต้องเรียกว่า “บุกรุก” น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะไม่มีการขออนุญาตหรือขอความยินยอมใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขามาถึงก็คุ้ยเขี่ยหนังสือบนชั้นกระจุยกระจาย แล้วก็ถ่ายรูปๆ เขี่ยซ้ำแล้วก็ถ่ายรูปๆ โดยไม่แคร์เสียงร้องขอของสาวน้อยหน้าหวานของเรา เมื่อพวกเขาถ่ายภาพเป็นที่พอใจก็จากไป ปราศจากคำขอโทษหรือขอบคุณ

แต่น่าตลกที่ว่าสุดท้ายบรรณาธิการคนนี้ก็ต้องมาง้อเธอให้เป็นนางแบบ เพื่อโชว์ตัวคอลเลคชั่นใหม่ที่ฝรั่งเศสตามคำแนะนำของตากล้อง และเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอตกลงคือเพื่อจะได้ตามหานักปรัชญาคนโปรดของเธอที่ฝรั่งเศส


เล่นหนังกับราชานักเต้นแท็ปทั้งที ไม่มีเต้นคงหมดท่าซินะ
โอ้ ! ลัลล่า... ออเดรย์ใช้ความสามารถทางการเต้นรำได้สุดยอดมาก ๆ เธอผสมท่าเต้นแปลกๆ เข้าด้วยกันทั้ง แท็ป บัลเล่ต์ เบรกแดนซ์ ฮิปฮอป ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ฉันล่ะนี่ขำกลิ้งและขาเริ่มขยับไม่รู้ตัว

ไม่ใช่เพียงหนังแนวโรแมนติกเท่านั้นที่ ออเดรย์ เฮพเบิร์น ได้รับ หนังซีเรียสจริงจังเธอก็เล่นได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน อย่างในบทแม่ชีเรื่อง The Nun’s Story (1961) เธอใฝ่ฝันอยากอุทิศทั้งชีวิตและจิตใจเป็นแม่ชีเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากไร้ในคอนโก ซึ่งนอกจากความยากในการแสดงที่เธอต้องระวังคำพูด การวางตัวในแบบฉบับของแม่ชีแล้ว เธอยังต้องเผชิญกับความหนาวเหน็บของอุณหภูมิที่ติดลบหลายองศาตลอดการแสดงที่คอนแวนต์ ทันทีที่เสียงสเลทสั่งคัทในแต่ละซีน ออเดรย์ของเราตัวเขียวเลยแหละ ปากนี่สั่นยิกๆ แต่เธอก็ไม่เคยย่อท้อ ไม่เคยบ่น


ส่วนฉากที่ต้องแสดงในคอนโก อากาศที่นั่นเลวร้ายมากสำหรับเธอ มันร้อนถึง 58 องศา นับเป็นครั้งแรกในชีวิตการแสดงของเธอที่เรียกร้องสิทธิพิเศษ เธอบอกผู้อำนวยการสร้างให้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศในห้องพัก แต่แล้วจนแล้วจนรอดด้วยเหตุผลใดไม่ทราบเครื่องปรับอากาศที่ส่งไปไม่สามารถใช้งานได้

ฉันสงสารเธอจับใจ แต่เธอก็ยังยิ้มได้ ทำให้ฉันและทุกคนเชื่อว่าเธอคือแม่ชีคนนั้น เธอไม่แสดงออกให้เราเห็นแม้แต่น้อยว่าจริงๆ แล้วตอนเธอถ่ายฉากในคอนแวนต์นั้นเธอหนาวเกือบตาย หนังเรื่องนี้เธอได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมด้วยนะ

นี่แหละ คือ ออเดรย์ เฮพเบิร์น หญิงผู้สง่างามทั้งรูปร่างหน้าตา เธอเป็นคนเรียบง่าย กินง่าย ไม่เรื่องมาก และจัดเป็นดาราที่มีอัธยาศัยดีที่สุดคนหนึ่ง เธอเป็นขวัญใจของทุกคนในกองถ่าย และเป็นเจ้าหญิงของผู้ชมทั่วโลกตลอดกาล











วันอังคารที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

ศิลปะเด็ก ที่หอศิลป์จามจุรี

by Ninamori

อ้าวว...เด็กๆ พร้อมหรือยังครับ

พร้อมแล้วค่ะ/ครับ (เสียงตอบรับอย่างพร้อมเพรียง) ทำให้หอศิลป์จามจุรี ยามบ่ายดูคึกคักเป็นพิเศษ เพราะที่นี่นอกจากมี Workshop สำหรับผู้ใหญ่แล้ว ช่วงบ่ายยังมี Workshop ศิลปะสำหรับเด็กด้วย

จะสนุกสนานแค่ไหนดูภาพก็แล้วกันนะ

อุ๊ย ! ดีใจจังหนูจะมีชุดฟอร์มแล้ว... พี่ผูกแน่นๆ นะ อย่าให้หลุดนะคะ


ศิลปะทำให้หนูใจเย็นขึ้นเยอะเลยค่ะ




ผมว่าถอดรองเท้านี่ดีนะ ระบายสีถนัดกว่าเยอะเลยคร้าบ




ร่วมด้วยช่วยกัน... อ้าวว...ฮูเล ฮูล่า ฮาฮ่า



คุยไป ระบายสีไป สนุกดีเน๊อะ... บ้านเธออยู่ไหนเหรอ ว่างๆ มาเที่ยวบ้านเราบ้างซิ



แอน แอ๊น... ผลงานของพวกเรา สวยมั๊ย



พี่ๆ เดี๋ยวผมจะวาดเครื่องบินที่สุวรรณภูมิให้ดูนะ



2 ขวบ ก็มีใจเรียนศิลปะนะคะ ดูความตั้งใจของหนูซะก่อน




รูปหมู่ถ่ายกับอาจารย์ค่ะ

หมายเหตุ: กิจกรรมนี้เปิดสอนฟรีเมื่อวันที่ 18,25 ส.ค. และ 1 ก.ย. 50 ณ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กิจกรรมอาจมีปีละครั้งหรือสองครั้ง ท่านใดสนใจสอบถามได้ที่ โทร. 02-2183709 หรือ www.jamjureegallery.org

วันจันทร์ที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Woodcut at Jamjuree Art Gallery

by Ninamori

อ่ะ...อะไรน่ะ ! ทำอะไรน่ะ... งงๆ ผสมตกใจเหมือนถูกผสมสีเมื่อ จอย- หรรษา (ผู้จัดการหอศิลป์จามจุรี- ที่อายุน้อยที่สุด) เชิญชวนให้ฉันเข้าร่วม Workshop - Printmaking (พิมพ์หรรษา) หรือ Woodcut ณ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเดือนกันยายน 2549

ไม่...ไม่ไหวค่ะ เพราะในชีวิตฉันเคยสัมผัสสีแค่ 2 ครั้ง ตอนอยู่ ป.4 เท่านั้นเอง ครั้งแรกคือเป่าสีบนกระดาษ ส่วนอีกครั้งแกะมะละกอเป็นรูปดอกไม้ จุ่มสี แล้วเอามาพิมพ์บนกระดาษ แล้วกระดาษของฉันก็เต็มไปด้วยดอกไม้ หลังจากนั้นฉันก็เฝ้ารอให้ถึงชั่วโมงเรียนศิลปะอีก เพราะอยากได้ผีเสื้อเพิ่ม แต่ก็ฝันสลาย เพราะทั้งครูและศิลปะหายไปพร้อมกันเลย กลายเป็นวิชาพละเฉยเลย

เรียนมั๊ย สนุกนะ...เสียง จอย – หรรษา ยังดังอยู่ใกล้ๆ

เกิดม็อบเล็กๆ (ในใจ) ฉันอยากเรียนมาก แต่ก็กลัวมากอีกเหมือนกัน เพราะวาดอะไรกับเขาไม่เป็นเลย ในเมื่อ จอย – หรรษา ยืนยันว่าไม่มีพื้นฐานก็เรียนได้ เอาก็เอาวะ สมัครเลยแล้วกัน (ในใจก็คิดเผื่อไว้ว่าถ้าใจฝ่อ ค่อยโทรยกเลิกทีหลังก็แล้วกัน)



จริงๆ ด้วยช่วงเรียน Woodcut ฉันและเพื่อนๆ สนุกมากเลย ทั้งๆ ที่จริงฉันหงุดหงิดเลยเกินกับมือตัวเองที่วาดรูปไม่ได้ดั่งใจคิด ตอนแรกฉันอยากได้แพะสันหลังหวะ - แพะต่างจังหวัดที่เข้ามาในเมืองกรุง แต่โชคร้ายที่เจอคู่รักซึ่งกำลังทะเลาะกัน ขว้างเปลือกทุเรียนหลุดออกมานอกคอนโด แล้วมาโดนหลังของเจ้าแพะพอดีเป๊ง

ภาพแรกไม่สำเร็จ... จากแพะกลายเป็นสตอร์เบอร์รี่แทน

ภาพที่สอง ฉันอยากวาดภาพคนนอนในน้ำ และมีสัตว์จำพวกแมลงอะไรสักอย่างอยู่บนร่าง...

ฉันยิ้มกับผลงานที่ออกมา แต่มันไม่ได้เป็นภาพที่อยากได้หรอกนะ มันกลายเป็นหน้าแมวในนาทีสุดท้าย (แมวที่ฉันเห็นบนหลังคาที่บ้าน มันเป็นแมวแปลกหน้าที่ไม่มีเจ้าของ แต่ครั้งหนึ่งฉันกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับมัน หลังจากเดินทางไปต่างจังหวัดนานเป็นเดือน)

ในเมื่อไม่สามารถวาดภาพที่เป็นรูปเป็นร่างได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือวาดเป็นชิ้นๆ เป็นส่วนต่างๆ แล้วค่อยเอามารวมกันน่าจะดีกว่า

เอาล่ะนะ... อยากได้ภาพผู้หญิงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวฉันเอง และภาพผู้ชายอีก 1 (สู้ๆๆ)



โอ๊ยย... ไม่นะ ฉันขีดๆ เขียนๆ แล้วก็ลบแล้วลบอีก สุดท้าย...สำเร็จแฮะ... แม้จะไม่ได้เลอเลิศอะไร แต่ฉันก็พอใจกับภาพที่วาดลงบนไม้

หนึ่ง... สอง... สาม... ฉันสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนที่จะลงมือแกะภาพที่วาดไว้บนไม้ด้วยเครื่องมือที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ มันเป็นเหล็กปลายแหลมรูปตัววี (v) มีหลายขนาดให้เลือก ฉันค่อยๆ แกะลายไป มือสั่นเล็กน้อย มันไม่ง่ายเลยแฮะ

อุ๊ย ! เผลอหน่อยเดียวเอง ไม่น่าเลย... อาจเป็นเพราะฉันลงน้ำหนักตอนกดมากไป มันเลยออกนอกลู่นอกทาง แต่ไม่เป็นทุกอย่างมีทางแก้ไข

ฉันตั้งหลักใหม่อีกครั้ง แล้วค่อยๆ เรียกใจ (ขวัญเอ๊ยขวัญมา) มือ- ตา- แขน-ขา ก็มา ฉันมาแล้ว อย่าเกเรนะ ใจฉันอยู่นี่แล้ว ฉันขอแกะลายเธอหน่อยนะ ...

ฮา ฮ่า... และแล้วก็สำเร็จ เพื่อนโต๊ะโน้นทำได้ ฉันโต๊ะนี้ก็ทำได้เหมือนกัน

นักเรียนครับ... เสียงอาจารย์เรียกพวกเรา เสียงนี่ใสเลย หน้าอาจารย์ก็ยิ้มแย้ม เหมือนจะบอกข่าวดีอะไรบางอย่าง

จริงๆ ด้วย อาจารย์บอกว่าจะจัดแสดงผลงานของพวกเรา ให้เลือกภาพที่พอใจที่สุดคนละ 1 ภาพ เพื่อเอาไปใส่กรอบแล้วแสดงภาพกันเลย

ทุกคนตื่นเต้นกันใหญ่ ส่วนฉันตื่นเต้นยิ่งกว่า คืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับแฮะ คิดๆ ดู ฉันก็แค่ตาสียายสา ได้มาเรียนก็บุญโขแล้ว แต่นี่ยังจะได้แสดงงานด้วย ตื่นเต้นๆ

และตื่นเต้นอีกครั้ง เมื่อฝรั่งคนหนึ่งที่มาดูงานที่หอศิลป์สนใจซื้อผลงานนักเรียนไป 2 ชิ้น หนึ่งในนั้นเป็นของฉันด้วย ป่านนี้งานของฉันคงนอนหนาวที่ไหนสักแห่งในประเทศออสเตรเลีย

อยากขอบคุณทางหอศิลป์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, อ. สุรชัย เอกพลากร (อาจารย์ที่ทำให้ชีวิตการเรียนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม) น้องๆ ทีมงานคนขยันของหอศิลป์ทุกท่าน ที่เติมเต็มชีวิตฉันให้มีความสุขตลอดเวลาที่อยู่ในโลกศิลปะ

หมายเหตุ : กิจกรรมนี้เปิดให้เรียนฟรี อาจปีละครั้งหรือสองครั้ง ท่านใดที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ หอศิลป์จามจุรี โทร. 02-2183709 หรือ http://www.jamjureegallery.org/